
ฉันขอยอมแพ้ได้มั้ย
ฉันไม่มีเรี่ยวแรงที่จะต่อสู้กับอะไรอีกแล้ว
ฉันเหนื่อย :)
ฉันเพียงแค่ต้องการที่จะนอนหลับไปด้วยความสบายใจสักหนึ่งหรือสองชั่วโมงเพียงเท่านั้น
แต่ว่าความจริงที่่่่น่าเศร้้ามันกลับฉุดรั้งฉันเอาไว้ ราวกับว่ากลัวฉันหนีหายไปไกลแล้วไม่กลับมา
ฉันไม่รู้ว่ามีเพียงฉันคนเดียวหรือเปล่าที่คิดว่า
‘เกรดเฉลี่ยไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตซะหน่อย’
ทำไมฉันถึงต้องทนแบกรับความคาดหวังจากใครๆด้วย
ฉันเหนื่อยและรู้สึกท้อ
ฉันไม่เคยมีความสุขกับการเรียนเลยสักครั้ง
ไม่มีใครสักคนที่รับรู้ว่าสิ่งที่ฉันต้องการจริงๆมันคืออะไร แล้วเหตุผลที่ฉันพาตัวเองมาอยู่ในจุดๆนี้
มันมีที่มาที่ไปยังไง
ไม่มีใครเลยที่จะเข้ามาถามถึงเหตุผลที่ซ่อนอยู่หลังคราบน้ำตาของฉัน
ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้คาดหวังให้ใครมาเข้าใจ เพราะว่าคงไม่มีใครเข้าใจฉันได้ดีเท่าตัวฉันเอง :)
รู้มั้ยว่าสิ่งที่ฉันรู้สึกเกลียดตัวเองมากที่สุดในช่วงเวลานั้นและในช่วงเวลาเดียวกันนี้ก็คือการยอมอดทนและฝืนปลอบโยนตัวเองว่า
‘ไม่เป็นไรหรอกน่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไปแล้ว อดทนเอาหน่อย’
บางครั้งฉันก็แทบจะจำไม่ได้แล้วว่าฉันร้องไห้กับเรื่องแบบนี้มานานแค่ไหนแล้ว ฟังดูน่าตลกดีว่ามั้ย สงสัยว่าฉันคงจะร้องไห้บ่อยมากเกินไปจนจำไม่ได้ซะแล้วล่ะ
สมัยเรียนมอปลาย ฉันติดสัมภาษณ์ที่มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ฉันฝันอยากเข้าไปเรียนมาก
ตอนฉันรู้ว่าติดสัมภาษณ์
ฉันรู้สึกตื่นเต้นและดีใจมากๆ แต่ว่าสิ่งที่น่าเจ็บปวดคือฉันต้องยอมสละสิทธิ์นั้นไป เพียงเพราะไม่มีใครมา support คอยอยู่เคียงข้าง
ไม่มีเลย ไม่มีใครสักคนเดียว
วินาทีที่ฉันกดสละสิทธิ์
ไม่มีใครรู้หรอกว่าฉันราวกับถูกพรากความฝันที่ฉันต้องการมากที่สุดไปแล้ว
ฉันนอนร้องไห้ราวกับว่าโลกกำลังจะแตกสลายลงมาตรงหน้า
สิ่่งที่ฉันพอจะทำได้ก็คงเพียงแค่เสียใจให้กับความฝันที่ได้สูญสลายหายไปและไม่มีวันย้อนกลับมาได้อีกต่อไปแล้ว
ฉันรู้ว่าสิ่งที่ได้ผ่านกลายเป็นอดีตแล้ว ไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้
เพียงแต่ในบางครั้งฉันก็นึกอิจฉาคนที่ได้เข้าคณะหรือมหาวิทยาลัยในฝันที่ตัวเองต้องการได้ โดยที่มีใครสักคนคอย support อยู่ข้างๆ
ในขณะที่ฉันไม่เคยได้รับโอกาสนั้นเลยสักครั้ง..
“เสียใจมั้ย”
เป็นคำถามจากอาจารย์ประจำคณะที่ฉันกำลังสัมภาษณ์ ณ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
คณะที่ฉันไม่เคยมีความคิดที่อยากจะเรียนเลยสักครั้ง ฉันไม่เคยคิดเพราะฉันรู้ว่าฉันไม่ชอบและไม่ถนัด
แต่ถึงอย่างนั้นฉันกลับมานั่งอยู่ที่นั่น..
‘เสียใจแต่ไม่เป็นไรค่ะ’
ฉันตอบไปด้วยน้ำเสียงแหบแห้งเจือปนไปด้วยความรู้สึกที่มันอัดอั้นภายในใจเป็นหมื่นล้านคำพูด
แต่ความจริงคือฉันกำลังฉีกยิ้มกว้างราวกับเด็กน้อยไร้เดียงสา ฉันทำราวกับว่าถึงรู้สึกเสียใจมากสักแค่ไหน แต่มันก็ทำอะไรฉันไม่ได้ ซึ่งความเป็นจริงกลับตรงกันข้ามราวฟ้ากับเหว
รู้มั้ยตอนที่มีสอบไม่ว่าจะวิชาไหน ในตอนที่ฉันบอกเพื่อนสนิทไปว่า ‘ฉันทำไม่ได้’
เพื่อนฉันก็มักจะตอบกลับมาด้วยประโยคเดิมๆว่า
‘ฉันไม่เชื่อเธอหรอก’
หลังจากที่ได้ฟัง ซึ่งฉันก็รู้ว่าคำตอบจะออกมาเป็นแบบนี้อย่างที่ฉันคิด ฉันก็เพียงแค่อยากระบายความอัดอั้นที่อยู่ในใจให้ใครสัักคนฟังก็็เท่านั้น
เพราะคงไม่มีใครรับรู้ว่าภายใต้ความคาดหวังจากใครๆว่าฉันนะทำได้อยู่แล้ว
เพราะเราต่างวัดกันที่ผลของตัวเลขและเกรดเฉลี่ย
ซึ่งฉันก็ทำได้แค่แค่นเสียงหัวเราะเยาะตัวเองว่า
จะไปคาดหวังอะไรจากใครทำไม ในเมื่อพวกเขาก็คาดหวังในตัวแกมากเกินพอแล้ว
ไม่มีใครรู้หรอกว่าภายใต้มุกปนติดตลกที่เป็นความจริงว่า ‘ฉันทำไม่ได้’
มันกลับเป็นความเจ็บปวดที่ใครไม่เป็นฉันก็คงไม่มีวันเข้าใจ
ฉันเจ็บปวดที่ต้องพยายามมากกว่าคนอื่นเป็นสิบเท่าเป็นร้อยเท่า เพียงเพราะสิ่งที่ฉันกำลังยืนอยู่มันไม่เคยใช่ที่ของฉันเลยสักครั้ง..
ฉันเจ็บปวดกับสิ่งที่ฉันไม่ได้รู้สึกชื่นชอบมันเลยสักนิด แต่ก็ไม่สามารถหนีมันไปได้
สาเหตุที่เป็นอย่างนี้
เพราะฉันถูกล่ามโซ่เอาไว้จากความคาดหวังของใครสักคนที่ไม่เคยเข้าใจฉันเลยสักครั้ง..
ไม่เลย ไม่เคยสักครั้ง..
‘แต่ไม่เป็นไรถึงจะเจ็บปวดขนาดไหน ฉันกลับรู้สึกว่ามันคงจะไม่เป็นไร เพราะฉันรู้สึกชินชากับความรู้สึกเจ็บปวดนี้ไปเสียแล้ว’