
วันก่อนไปเจอเดอะแก๊งเพื่อนที่โตมาด้วยกัน แล้วคุยเรื่องเก่า ๆ รวมถึงการบุลลี่เพื่อน ซึ่งเป็นตอนประถมเคยมีเพื่อนโดนแบน โดนรุมด่า พอมานึกแล้วเราก็ลืมไปแล้วว่าทำไมเราถึงไม่ชอบเค้ากัน บางคนไม่ชอบตามคนอื่น ซึ่งจริง ๆ ก็อาจมีหลายเหตุผล เช่น เพื่อนชอบแสดงออกเกินไรงี้ ชอบยกมือตอบ หรืออะไรสักอย่างซึ่งเราต่างลืมไปแล้ว
เราสนิทกับเค้ามากที่สุด แต่ตอนนั้นเราก็รับบทเด็กหญิงไม่สนใจ ไม่กล้าเข้าข้างเต็ม ๆ ไม่กล้าบอกใครว่าสนิทกับเค้า เพราะกลัวโดนเกลียดไปด้วย นึกแล้วก็เสียใจเหมือนกันที่ไม่ได้ช่วยเพื่อนมากกว่านี้ แต่ตอนเด็กเราก็ต้องเซฟตัวเองก่อน แต่ดีที่เค้าเข้าใจเรา เรื่องนี้เราก็ไม่กล้าบอกใครมาตลอดเหมือนกัน...
เพื่อนเราอีกคนก็เคยเขียนโน้ตถามคนแกล้งตอน ม.ต้น ว่าทำไมยูถึงต้องไปหาเรื่องเพื่อนคนนั้นด้วย เราเองก็เพิ่งรู้ว่าเพื่อนเราเขียนโน้ตแบบนี้ อย่างน้อยก็ไม่ได้มีทุกคนที่ไม่ชอบเค้าตามคนอื่น ๆ ยังมีคนที่เรียกร้องความถูกต้องอยู่และเป็นเดอะแก๊งเราเองตอนมัธยม ดีว่ะที่ได้เจอพวกนาง
ตอน ม.2 เราไปเข้าค่ายการเขียน แล้วเราเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับเพื่อนที่โดนแบนนั่นแหละว่าเราไม่กล้าจะช่วยเค้า ไม่กล้าจะเรียกร้องความยุติธรรมให้เค้าทั้งที่ตอนนั้นเราแทบจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเค้า เราเขียนว่าเราเสียใจกับเรื่องนี้ เราถ่ายทอดมันออกมาในงานเขียนของเรา ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าที่เพื่อนคนนั้นโดนคือการถูกบุลลี่
ตอนครูอ่านเรื่องของเราก่อนจะส่ง
เรารู้สึกผิดกับเพื่อนตลอดที่ตอนนั้นเราไม่ได้ช่วยเค้า เราเคยเดินหนีเพราะเพื่อนคนอื่นรุมว่าเค้า ตอนนั้นเราสนิทกับทั้ง 2 ฝ่ายเราเลยไม่อยากอยู่เลือกข้าง เรากลัวโดนไปด้วยจริง ๆ พอเราโตขึ้นเราก็ได้เรียนรู้ที่จะไม่ทำแบบนั้นแล้ว เราจะไม่ขี้ขลาดอีกแล้ว เพื่อน ๆ กลุ่มเราในปัจจุบันก็รู้สึกผิดเหมือนกันกับสิ่งที่ทำตอนเด็กหลาย ๆ อย่าง แต่มันก็ย้อนกลับไปไม่ได้แล้วแหละ มีเพื่อนเราเป็นครูที่โรงเรียนพอดี เลยบอกกันว่าไม่อยากให้มีครูที่มองการบุลลี่เป็นเรื่องเล็ก เราก็ต่างอยู่ในเหตุการณ์ด้วยกันมา เราเข้าใจกันดีว่ามันรู้สึกยังไง
ตอนที่ดูหนังเรื่อง Better Days ไม่มีวันไม่มีฉันไม่มีเธอ (หนังที่นำเสนอเรื่องการ Bullying ในโรงเรียน) เราก็นึกถึงเคสนี้ อาจจะไม่รุนแรงเท่าแต่ก็มีส่วนเหมือนกันอยู่ เฉินเนี่ยน (นางเอก) อาจจะเป็นคนนึงที่ลุกขึ้นสู้เพื่อเพื่อน แต่เราตอนนั้นน่ะ... ไม่ใช่แบบนั้นไง เราเลือกที่จะนิ่งเฉย พอเราโตขึ้นเราก็เข้าใจหลายอย่างเพิ่มมากขึ้น รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
แล้วก็อยากเป็นคนที่เริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง เพื่อนในเดอะแก๊งเราอาจจะเป็นครูที่เพิ่งมาใหม่ แต่เราแอบกระซิบว่าอย่าลืมสอนเด็กเรื่องนี้ด้วยนะ ไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบสมัยพวกเราเป็นนักเรียน อาจจะไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติครูเก่าได้หรือสอนเด็กได้ไม่หมด...
แต่อย่างน้อยเราก็ได้เริ่มสร้างความเข้าใจใหม่ให้นักเรียนแล้ว
เราสนิทกับเค้ามากที่สุด แต่ตอนนั้นเราก็รับบทเด็กหญิงไม่สนใจ ไม่กล้าเข้าข้างเต็ม ๆ ไม่กล้าบอกใครว่าสนิทกับเค้า เพราะกลัวโดนเกลียดไปด้วย นึกแล้วก็เสียใจเหมือนกันที่ไม่ได้ช่วยเพื่อนมากกว่านี้ แต่ตอนเด็กเราก็ต้องเซฟตัวเองก่อน แต่ดีที่เค้าเข้าใจเรา เรื่องนี้เราก็ไม่กล้าบอกใครมาตลอดเหมือนกัน...
เพื่อนเราอีกคนก็เคยเขียนโน้ตถามคนแกล้งตอน ม.ต้น ว่าทำไมยูถึงต้องไปหาเรื่องเพื่อนคนนั้นด้วย เราเองก็เพิ่งรู้ว่าเพื่อนเราเขียนโน้ตแบบนี้ อย่างน้อยก็ไม่ได้มีทุกคนที่ไม่ชอบเค้าตามคนอื่น ๆ ยังมีคนที่เรียกร้องความถูกต้องอยู่และเป็นเดอะแก๊งเราเองตอนมัธยม ดีว่ะที่ได้เจอพวกนาง
ตอน ม.2 เราไปเข้าค่ายการเขียน แล้วเราเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับเพื่อนที่โดนแบนนั่นแหละว่าเราไม่กล้าจะช่วยเค้า ไม่กล้าจะเรียกร้องความยุติธรรมให้เค้าทั้งที่ตอนนั้นเราแทบจะเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวของเค้า เราเขียนว่าเราเสียใจกับเรื่องนี้ เราถ่ายทอดมันออกมาในงานเขียนของเรา ตอนนั้นเราไม่รู้หรอกว่าที่เพื่อนคนนั้นโดนคือการถูกบุลลี่
ตอนครูอ่านเรื่องของเราก่อนจะส่ง
ครูบอกว่าเป็นแค่เรื่องของเด็ก ๆ แกล้งกัน
เราโคตรนอยเลย ที่ครูมองว่ามันเป็นเรื่องเล็ก ๆ ทั้งที่สำหรับเด็กแล้วมันฝังใจ มันเป็นเรื่องใหญ่และเพื่อนเราโดนมาตั้งแต่ประถมจนถึง ม.ต้น มันหลายปีเลยนะ สิ่งนี้ทำให้เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าครูจะเป็นที่พึ่งให้เด็กได้จริงเหรอ แต่พอส่งแล้วเรื่องที่เราเขียนเป็นหนึ่งในเรื่องที่ได้รับเลือก คนเลือกคือคุณลุงจำลอง ฝั่งชลจิตร เค้าบอกว่าเรากล้าหาญมากที่ได้เปิดเผยตัวตนในงานเขียน ตอนนั้นดีใจมาก ที่มีคนเห็นว่าเรื่องของเด็ก ๆ มันยิ่งใหญ่กว่านั้น และ เค้าไม่ได้เบลมเรา ทั้งที่เราไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง เค้ากลับให้กำลังใจเราที่เรากล้าบอกออกมาว่าเราทำอะไรลงไปบ้าง
เรารู้สึกผิดกับเพื่อนตลอดที่ตอนนั้นเราไม่ได้ช่วยเค้า เราเคยเดินหนีเพราะเพื่อนคนอื่นรุมว่าเค้า ตอนนั้นเราสนิทกับทั้ง 2 ฝ่ายเราเลยไม่อยากอยู่เลือกข้าง เรากลัวโดนไปด้วยจริง ๆ พอเราโตขึ้นเราก็ได้เรียนรู้ที่จะไม่ทำแบบนั้นแล้ว เราจะไม่ขี้ขลาดอีกแล้ว เพื่อน ๆ กลุ่มเราในปัจจุบันก็รู้สึกผิดเหมือนกันกับสิ่งที่ทำตอนเด็กหลาย ๆ อย่าง แต่มันก็ย้อนกลับไปไม่ได้แล้วแหละ มีเพื่อนเราเป็นครูที่โรงเรียนพอดี เลยบอกกันว่าไม่อยากให้มีครูที่มองการบุลลี่เป็นเรื่องเล็ก เราก็ต่างอยู่ในเหตุการณ์ด้วยกันมา เราเข้าใจกันดีว่ามันรู้สึกยังไง
ตอนที่ดูหนังเรื่อง Better Days ไม่มีวันไม่มีฉันไม่มีเธอ (หนังที่นำเสนอเรื่องการ Bullying ในโรงเรียน) เราก็นึกถึงเคสนี้ อาจจะไม่รุนแรงเท่าแต่ก็มีส่วนเหมือนกันอยู่ เฉินเนี่ยน (นางเอก) อาจจะเป็นคนนึงที่ลุกขึ้นสู้เพื่อเพื่อน แต่เราตอนนั้นน่ะ... ไม่ใช่แบบนั้นไง เราเลือกที่จะนิ่งเฉย พอเราโตขึ้นเราก็เข้าใจหลายอย่างเพิ่มมากขึ้น รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก
แล้วก็อยากเป็นคนที่เริ่มสร้างการเปลี่ยนแปลงเล็ก ๆ น้อย ๆ บ้าง เพื่อนในเดอะแก๊งเราอาจจะเป็นครูที่เพิ่งมาใหม่ แต่เราแอบกระซิบว่าอย่าลืมสอนเด็กเรื่องนี้ด้วยนะ ไม่อยากให้มีเหตุการณ์แบบสมัยพวกเราเป็นนักเรียน อาจจะไม่สามารถเปลี่ยนทัศนคติครูเก่าได้หรือสอนเด็กได้ไม่หมด...
แต่อย่างน้อยเราก็ได้เริ่มสร้างความเข้าใจใหม่ให้นักเรียนแล้ว
การทำร้ายกันมันไม่สนุก ไม่ตลกด้วย มันไม่ใช่แค่เรื่องเล็ก ๆ แบบที่ผู้ใหญ่หลายคนมอง
เด็กทำไป เด็กไม่รู้หรอกว่ามันรุนแรงต่อร่างกาย/จิตใจเพื่อนมั้ย แต่ก็รู้ได้ถ้ามีคนสอน/มีคนบอก
.
.
.
.
ถึงเราจะเปลี่ยนอดีตไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันให้มันดีขึ้นได้นะ ☺️
ถึงเราจะเปลี่ยนอดีตไม่ได้ แต่เราทำปัจจุบันให้มันดีขึ้นได้นะ ☺️