
(ฤดูร้อน , ปริมาณน้ำตาท่วมขังในหัวใจ)
เธอตื่นขึ้นมาด้วยอาการสำลักน้ำ ตะเกียกตะกายหาอากาศและแสงสว่างของการมีชีวิตอยู่
ก่อนจะรู้ว่าเธอไม่ได้จมลงในน้ำลึกแต่อย่างใด
เธอเพียงร้องไห้ในฝัน เพื่อตื่นขึ้นมาพบว่ายังไม่หยุดร้องไห้เลยนับจากปล่อยให้ความสัมพันธ์พังลงไป
ฉันเพียงปลดเชือกที่แน่นหนา ที่มันเคยบาดหัวใจฉันเสียจนเลือดอาบ ฉันเพียงปลดมัน ด้วยแรงเฮือกสุดท้าย มันไม่เพียงปลดปล่อยฉัน—หากแต่มันปลดปล่อยเราเธอเขียนมัน เมื่อคืนนี้เอง บนสมุดบันทึกที่ไม่ได้เปิดเขียนมานานเหลือเกิน เขียนเพื่อปลอบประโลมดวงใจแตกๆของตัวเอง เพื่อหวังว่าเช้าวันต่อมามันจะหายดี
แต่เปล่าเลย เช้านี้มันยังคงมีร่องรอยของความเจ็บช้ำ เด่นชัดเสียจนน่าสะพรึงกลัว ข้างนอกหน้าต่างนั่นมีแสงแดดจัดจ้า และไม่มีวี่แววการมาของฝน แน่ล่ะ ก็นี่มันกลางฤดูร้อน
“ร้องไห้ทำไม”
เสียงเล็กตามมาด้วยสัมผัสบางเบาที่หางตาของเธอ เจ้าตัวเล็กนั่งยองๆลงข้างเตียง มองดูเธอคุดคู้ราวกับอวัยวะภายในบิดร้าวไปทั้งตัวอยู่อย่างนั้น “ไม่ร้องนะ”
“ไม่ได้ร้อง”
“แต่น้ำตาไหลนี่นา”
“เป็นเลือดของหัวใจน่ะ”
“อ๋า”
เสียงเล็กๆตอบรับอย่างสนอกสนใจ มือเล็กๆยังปาดเช็ดเลือดของหัวใจที่ว่านั่นไม่หยุด จนเธอต้องจับมันมากุมไว้
“วันนี้ไม่มีบทกวีเหรอคะ”
“พี่เจ็บหัวใจ เขียนไม่ไหว วันนี้อ่านไบเบิลให้พี่ฟังได้ไหม”
“ได้เลย”
“โครินธ์”
“อ่า โครินธ์ บทนั้น”
เจ้าตัวเล็กเปิดคัมภีร์ด้วยใบหน้าที่สงบเหลือเกิน หญิงสาวที่ถือครองหัวใจแตกสลายยิ้มออกมาได้จากความตั้งใจนั้น และเริ่มต้นร้องไห้อีกครั้ง ราวกับเป็นฤดูกาลน้ำตาที่หลั่งรินไม่รู้จบ
‘ความรักนั้นก็อดทนนานและมีใจปรานี ความรักไม่อิจฉา ไม่อวดตัว ไม่หยิ่งผยอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ฉุนเฉียว ไม่ช่างจดจำความผิด ไม่ชื่นชมยินดีในความอธรรม แต่ชื่นชมยินดีในความจริง ความรักทนได้ทุกอย่าง เชื่ออยู่เสมอ มีความหวังและความทรหดอดทนอยู่เสมอ’ —1 โครินธ์ 13:4
(ฤดูร้อน , ฉันเหมือนสัตว์บาดเจ็บ)
วันเวลาผ่านไปเชื่องช้าเหมือนเธอถูกขังอยู่ในนาฬิกาทราย เม็ดแล้วเม็ดเล่าที่ร่วงหล่น ไม่ใช่เกลียวคลื่นของเวลา หากเป็นน้ำตาของเธอเอง
“ต้นไม้มันช่วยอะไร”
“ไม่รู้”
“เฮ้อ”
เธอนั่งอยู่ตรงนั้น รายล้อมไปด้วยกระถางต้นไม้น้อยใหญ่ ไหนจะเมล็ดพันธุ์ที่ยังไม่ได้ลงดิน เพื่อนสนิทกล่าวพึมพำว่าเธอเหมือนเจ้าหญิงที่บัลลังก์ทลายลงเหลือแต่ซากปรักหักพัง และเธอคงไม่ได้เป็นแม้แต่เจ้าหญิงแล้วแหละ เพราะแม้แต่มงกุฎเธอก็ถูกพรากไปด้วย
“หมดสภาพ”
“ขอบใจ”
“ไม่ได้ชมนะ เผื่อเข้าใจผิด”
ว่ากันว่าเพื่อนจะอยู่กับเราแม้คนรักจะจากไป อะไรทำนองนั้น แต่เธอรู้เสมอ เพื่อนบางคนเหมือนดาวเหนือนำทางการเดินเรือให้เธอเสมอมา เพราะแบบนั้นแล้วคำด่าเมื่อครู่คงเป็นคำบอกรัก เธอเชื่ออย่างนั้น
“หวังว่าจะโตอย่างดีนะ อย่าตาย”
“บอกต้นไม้ใช่ไหม”
“อือฮึ”
“งั้นโตดีๆนะ อย่าตาย”
“ต้นไม้?”
“มึงนั่นแหละไอ้ชิบหาย”
(ปลายฤดูร้อน , ช่วงผลัดฤดูนี่หายใจลำบากจัง)
ปลอดภัยแล้วนะ — เขากล่าวอย่างนั้น
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงสงบ ที่คนฟังราวกับถูกโอบกอดด้วยลมภูเขา ราวกับได้ยินเสียงเปาะแปะของไม้ติดไฟในเตาผิง ราวกับเขากำลังจะบอกว่าฤดูที่เจ็บปวดกำลังจะผ่านไปแล้ว
เธอยังหวาดกลัวแต่ก็เชื่อเขาไว้ก่อนว่าเธอปลอดภัยแล้ว
มือที่สั่นเทารับร่มมาไว้ในมือทั้งๆที่ยังไม่มีวี่แววของฝน
“วันนี้ต้องกลับบ้านแล้ว”
“....”
“ติดร่มเอาไว้น่ะดีแล้วนะ พายุอาจกำลังจะมา”
“พายุเหรอ”
“เธอจะได้ไม่ต้องกลัวอะไรอีก”
“....”
“ทั้งเสียงฟ้าร้อง ทั้งพายุ ทั้งความเจ็บปวดที่สลักลงบนใจเธอ จะได้ไม่ต้องกลัวมันอีกแล้ว”
เธอยังคงกลัวอยู่ดี ภายในใจเธอเหมือนวาฬสีน้ำเงินอันโดดเดี่ยวที่กลัวสมอเรือเหลือเกิน ถึงแม้จะปรารถนาความมั่นคงแต่ก็ว่ายวนหนีมันเพราะยังมีแผลที่ช้ำเลือดช้ำหนองอยู่
“ขอบคุณค่ะ”
“ถึงมันจะมาก็ไม่เป็นไรหรอกนะ”
“....”
“พายุน่ะ
“ข้างหลังเธอ”
แล้วเพลง Clean ของ Taylor Swift ก็ถูกฉีดเข้าเส้นเลือดใหญ่เธอด้วยหูฟังที่ลืมไปแล้วว่าใส่ตั้งแต่เมื่อไหร่ เธออยู่อย่างลำพังกลางลมกรรโชกแรง และบทเพลงที่เหมือนกำลังทำให้ตัวเธอยอบตัวลง เพื่อให้อภัยตัวเธอเอง
Hung my head as I lost the war, and the sky turned black like a perfect storm
ไม่ต้องกลัวฤดูฝนหรอกนะ ,ครั้งนี้เธอบอกตัวเอง
(ฤดูฝน , เขามาก่อนฝนแรกเสียอีก)
“ทำไมถึงอยากสักคำนี้เหรอคะ”
“....”
“ถามได้หรือเปล่า”
ช่างสักหญิงวัยกลางคนถามเธออย่างสุภาพ กริ่งเกรงและถนอมดวงใจเธอเสียจนเธอต้องยิ้มออกมา
“อยากสักหลังจากเลิกกับแฟนเก่าน่ะค่ะ”
อ่า ทำไมร้านสักถึงเปิดเพลง Clean อีกครั้งได้นะ ดนตรีที่พร่างพรมลงกลางใจเธอเช่นเดิมทำให้ความเจ็บปวดจากปลายเข็มนั่นน้อยลงอย่างน่าประหลาด
ข้างนอกฝนตกเต็มที่ ราวกับลมฝนนั่นหอบเอาความรู้สึกของใครมาทิ้งแล้วจากไป เธอหลับตาและเม้มริมฝีปากแน่น ตอนเพลงเล่นมาถึงท่อน
Rain came pouring down when I was drowningเธอหายใจได้เต็มปอดจนได้ คงเป็นเพราะช่วงผลัดฤดูผ่านพ้นไปแล้ว และอาจะเป็นเพราะไม่ได้รู้สึกจมอยู่ในน้ำลึกๆอีกต่อไปแล้ว
That’s when I could finally breathe
“เป็นคำที่ดีมากเลยนะคะ”
“ขอบคุณค่ะ”
“แฟนเก่าบอกไว้เหรอคะ”
เพลงยังคงบรรเลงต่อไป จนคำตอบที่ตั้งใจจะเอ่ยถูกกลืนหายลงไปในลำคอ
And by morning gone was any trace of you,
I think I am finally clean
เธอโผล่พ้นผิวน้ำมานานแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อาจจะเป็นเช้าที่น้องสาวอ่านคัมภีร์ให้ฟัง หรือตอนบ่ายที่เพื่อนสนิทมาช่วยปลูกต้นไม้ หรือตอนรับร่มจากคนแปลกหน้าที่ใจดีเหลือเกิน — เธอเป็นอิสระจากความโศกเศร้าแล้ว
เพราะฤดูที่เจ็บปวดได้ผ่านพ้นไปแล้ว
เพราะฝนที่ตกลงมาทำให้เธอรู้สึกได้ชะล้างความเจ็บปวดออกไปเสียที เพราะแผลที่เคยช้ำเลือดช้ำหนองของเธอมันไม่ทำให้เธอทรมานอีกต่อไปแล้ว
“ขอโทษค่ะ ฟังเพลงเพลินไปหน่อย”
“แฟนเก่าบอกไว้เหรอคะคำนี้
“You did well , darling”
เธอยิ้มละไม แม้จะเจ็บปวดบริเวณท้องแขนที่มันกำลังจะมีคำนี้จรดลงไป “เปล่าค่ะ”
“คนที่ยังอยู่ในตอนนี้คอยบอกเสมอค่ะ”
“....”
“คนที่เรียกว่าครอบครัว คนที่คอยโอบกอดตอนที่เราไม่เหลือแม้แต่สิ่งใดให้รู้สึก คอยบอกว่าเราทำได้ดีแล้ว อยู่ต่อไปด้วยกันเถอะนะ”
“ก็เลยยังอยู่ใช่ไหมคะ”
“ก็เลยยังอยู่ค่ะ”
“ขอบคุณที่ยังอยู่นะคะ เพราะทำได้ดีแล้วในทุกๆเรื่อง ก็ต้องทำต่อไปนะคะ”
เธอยิ้มอย่างพิมพ์ใจตอบกลับไป
หัวใจเหมือนได้รับพลังประหลาด
เพลง Clean ของ Taylor Swift จบลงไปแล้ว
เธอเห็นความเจ็บปวดของตัวเองเป็นรูปประโยคที่สมบูรณ์
YOU DID WELL , DARLING
ทำได้ดีแล้วนะ , ที่รัก
Written in this book
𝑻𝒉𝒆 𝒐𝒄𝒆𝒂𝒏 𝒐𝒇 𝒕𝒆𝒂𝒓