
เพิ่งกลับจากค่ายมากอีกแล้ว~
ค่ายนี้เป็นค่ายแรกแต่ไปครั้งที่สอง
งงล่ะสิ..
ก็เพราะเป็นค่ายแรกในรั้วมหาลัย
และปีนี้ก็ยังจัดที่เดียวกับปีที่แล้วเลย
หลังจากที่เสร็จภารกิจต่างๆนานาจากเรื่องซุ้มไข่เจียว
ก็ได้จัดโครงการแรกเป็นกิจกรรมขัดลานพระบิดา
ไม่มีอะไรมาก และก็ผ่านไปได้ด้วยดี..
งานหนักต่อมาก็เป็นเรื่องจัดค่าย
..ค่ายนี้เป็นค่ายปลูกป่าและปล่อยปู..
จำได้ตอนปีหนึ่งตื่นเต้นมากๆตอนที่พี่ๆในชมรมอาสาประกาศรับสมัครลูกค่าย
รีบวิ่งไปสมัครกลัวคนจะเต็มเพราะอยากไปจริงๆ
จนกระทั่งได้ไปค่ายสมใจก็เกิดความชอบ (จนทำให้มีปัจจุบันเช่นนี้)
จริงๆถ้าตอนนั้นรู้จัก storylog ก็คงได้มานั่งบันทึกเรื่องราวความประทับใจของค่ายแรกแล้ว
แต่ก็ไม่เป็นไร
ขอบันทึกความรู้สึกของปีนี้ไว้แทนละกัน
ค่ายนี้เราอยู่ฝ่ายครัว
ใช่.. เหมือนจะไม่ต้องทำอะไรมาก แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้นอนเลยเหมือนกัน
วันแรกที่จัดค่ายเราไม่ได้ไปพร้อมลูกค่ายเพราะติดสอบนอกตารางตัวสุดท้ายก็เลยต้องตามไปค่ายทีหลังพร้อมกับเพื่อนอีกสามคน
ไปที่โรงเรียนก็ประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ
ยังไม่ได้ทันได้เห็นหน้าลูกค่ายชัดๆ
คนในฝ่ายก็เรียกตัวให้ไปเข้าครัวแล้ว ._.
หมกตัวอยู่แต่ในครัวจนกระทั่งฝ่ายสันพาน้องๆมากินข้าว ก็เลยได้ออกไปทักทายน้องๆบ้างเล็กน้อย น้องดูเพลียกันอาจจะเพราะใช้เวลาเดินทางมาไกลพอสมควร
จนกระทั่ง 22.30 น. โดยประมาณ
ก็ปล่อยให้ลูกค่ายแยกย้ายกันเข้านอน
ส่วนคนจัดค่ายน่ะหรอ... ประชุมต่อ
ประชุมเสร็จก็เกือบๆตีหนึ่ง
หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของฝ่ายตัวเองให้เสร็จแล้วเข้านอน เช่น ฝ่ายอาคารก็ไปเดินตรวจดูความเรียบร้อยตามห้องน้ำทางเดิน
ฝ่ายสวัสฯก็ต้องยกคูลเลอร์น้ำไปตั้งไว้หน้าห้องนอนลูกค่ายเผื่อมีคนหิวน้ำกลางดึก ฝ่ายครัว.. ที่จะต้องไปนั่งหั่นผักหั่นไก่เพื่อเตรียมไว้ทำกับข้าวสำหรับมื้อเช้าของวันพรุ่งนี้
กว่าจะได้นอนก็ตี 4 กว่าๆ
แล้วก็ต้องตื่นตอนตี 5
ใช่แล้วค่ะ..อ่านไม่ผิด ตี 5
บวกลบคูณหารแล้วเวลานอนไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
แต่แปลกที่ตอนตื่นไม่รู้สึกง่วงเลย
อาจจะเพราะตื่นเต้นที่ได้อยู่ฝ่ายครัวสมใจอยากลอง
บวกกับตอนออกมาหน้าห้อง
เงยหน้ามองท้องฟ้าตอน 05.05 น.
มันสวยมากๆ เลยจริงๆ
ดาวแน่นท้องฟ้า สะท้อนวิบวับแข่งกันใหญ่เลย
กะจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป แต่กล้องก็กากเกินไป..
จากที่ตาจริงเห็นดาวนับร้อย
แต่ในโทรศัพท์เห็นแค่สามดวง -_-
นี่แหละข้อดีของการมาอยู่ค่ายแถบชนบท
เป็นความสวยงามที่อาจจะหาไม่ได้เลยจากในเมือง
วันนั้นทั้งวันอยู่แต่ในครัว
ช่วงเวลาที่ลูกค่ายไปปล่อยปูกันที่ทะเล
ฝ่ายครัวไม่รอช้า รีบไปแอบเก็บชั่วโมงนอนสักสองชั่วโมงก็ยังดี
(อย่าบอกใครนะคะ -3-)
จนบ่ายสามก็ต้องเข้าครัวมาทำมื้อเย็นต่อ
คืนวันที่สองมีกิจกรรมรอบกองไฟเหมือนเข้าค่ายลูกเสือปกติ
แต่ปีนี้ดีตรงที่ป้าอารีผู้ดูแลศูนย์เพาะพันธุ์ปูได้จัดหาสถานที่ริมหาดไว้เพื่อให้ทางเราได้ไปจัดกิจกรรมริมหาดกัน
ได้ออกจากครัวก็คราวนี้แหละ!!!
ก่อนหน้าจะจัดค่ายก็ได้มาสำรวจพื้นที่ไว้บ้างแล้ว
จินตนาการไว้ว่ามันต้องสวยมากแน่ๆ
แต่พอวันจริง
มันเกินกว่าที่จินตนาการไว้มากๆ
เสียงคลื่นทะเลที่กระทบฝั่งเป็นระยะๆ
ดาวที่แน่นท้องฟ้าเหมือนตอนเช้ามืด
พระจันทร์ที่เกือบจะเต็มดวง
แสงจันทร์ที่สะท้อนบนผิวน้ำทะเล
ลูกค่ายที่นั่งล้อมกองไฟ
ชาวบ้านที่มานั่งดูการแสดงของพวกเราอยู่รอบๆ
เสียงเฮฮาจากทุกคน
ตอนนั้นเหมือนอยากเก็บช่วงเวลานี้ใส่ถุงซิปล็อคไว้จริงๆ
กิจกรรมดำเนินไปจนถึงเวลาสิ้นสุด
ลูกค่ายเดินทางกลับโรงเรียนที่เป็นที่พัก
ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแยกย้ายกันเข้านอน
ผู้จัดค่ายประชุมกันต่อตอน 5 ทุ่มครึ่ง
และความโชคดีมันอยู่ตรงที่วันสุดท้ายของค่าย
พวกเราต้องไปปลูกต้นโกงกางกัน ซึ่งสถานที่ที่ไปปลูกมันเป็นทางผ่านระหว่างกลับมหาลัยพอดี
และแน่นอนว่ามื้อเที่ยงพวกเราก็ต้องไปกินที่นั่นด้วย
แล้วยังไงหรอ..?
ก็แสดงว่าฝ่ายครัวต้องเตรียมกับข้าวมื้อเช้าพร้อมทั้งข้าวห่อมื้อเที่ยงให้เสร็จก่อนเวลา 09.30 ยังไงล่ะ..
คืนนี้ไม่เหมือนคืนก่อน
จัดการภารกิจส่วนตัวเสร็จ
เข้าครัวต่อตอนตี 1 ครึ่ง
หั่นของเสร็จก็ตี 4
ตี 5 เริ่มทำกับข้าวมื้อเช้า
เสร็จของมื้อเช้าประมาณ 6 โมงกว่าๆ
พี่ๆในชมรมเข้ามาเปลี่ยนกะบอกจะทำแกงที่เหลือต่อเองให้ไปนอนได้ แต่ 8 โมงเช้าต้องตื่นมาเช้ามาเก็บของกลับกันนะ
ไม่ปฏิเสธ
จำได้ว่าตอนนั้นเบลอมากๆ
กระทิงแดงที่กินไปเหมือนจะหมดฤทธิ์
หัวถึงหมอนภาพก็ตัดไปแบบไม่ทันนับสองจบ
ตื่นมาอีกทีเหมือนจะสดใสขึ้นมาหน่อยนึง
หลังจากเก็บของเสร็จหมด เหลือทำพิธีปิดกับกิจกรรมเล็กๆน้อยๆ
จากที่เบลอๆก็รู้สึกเฟรชขึ้นมาเฉย เหมือนเห็นลูกค่ายสนุกเลยได้รับพลังงานแบบอัตโนมัติ
กิจกรรมดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงเวลาไปปลูกป่า
แดดร้อนก็จริง แต่รู้สึกสนุกอยู่ดี
เพราะวันที่ลูกค่ายไปปล่อยปู นี่ก็ไม่ได้ไป
พอมาปลูกป่าก็เลยดีดกว่าปกติยิ่งกว่าคนเก็บกด
จบค่ายนี้ก็ทำให้รู้ว่า
-ไม่มีใครไม่เหนื่อย งานแต่ละฝ่ายก็เหนื่อยเหมือนกันแค่เหนื่อยคนละแบบ
-รอยยิ้มของคน สามารถทำให้เราใจชื้นขึ้นมาได้จริงๆ
-ตัดสินคนจากภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริงๆ ควรดูการกระทำของเขาจะดีกว่า
-บางสิ่งบางอย่างถ้าไม่เดินไปหามัน มันก็ไม่มีวันมาหาเราเหมือนกัน
-สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบันทึกความทรงจำก็คือความรู้สึกของเรานี่แหละ
-ต้องลองออกไปเจอโลกภายนอกบ้าง มีอะไรอีกเยอะที่ต้องลองทำสักครั้งในชีวิต
สุดท้ายก็ขอบคุณทุกๆคนที่มีส่วนทำให้ค่ายแรกของรุ่น 21 ผ่านไปได้ด้วยดีแบบนี้
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
#ความเต็มใจอาสาพัฒนา
☔
ค่ายนี้เป็นค่ายแรกแต่ไปครั้งที่สอง
งงล่ะสิ..
ก็เพราะเป็นค่ายแรกในรั้วมหาลัย
และปีนี้ก็ยังจัดที่เดียวกับปีที่แล้วเลย
หลังจากที่เสร็จภารกิจต่างๆนานาจากเรื่องซุ้มไข่เจียว
ก็ได้จัดโครงการแรกเป็นกิจกรรมขัดลานพระบิดา
ไม่มีอะไรมาก และก็ผ่านไปได้ด้วยดี..
งานหนักต่อมาก็เป็นเรื่องจัดค่าย
..ค่ายนี้เป็นค่ายปลูกป่าและปล่อยปู..
จำได้ตอนปีหนึ่งตื่นเต้นมากๆตอนที่พี่ๆในชมรมอาสาประกาศรับสมัครลูกค่าย
รีบวิ่งไปสมัครกลัวคนจะเต็มเพราะอยากไปจริงๆ
จนกระทั่งได้ไปค่ายสมใจก็เกิดความชอบ (จนทำให้มีปัจจุบันเช่นนี้)
จริงๆถ้าตอนนั้นรู้จัก storylog ก็คงได้มานั่งบันทึกเรื่องราวความประทับใจของค่ายแรกแล้ว
แต่ก็ไม่เป็นไร
ขอบันทึกความรู้สึกของปีนี้ไว้แทนละกัน
ค่ายนี้เราอยู่ฝ่ายครัว
ใช่.. เหมือนจะไม่ต้องทำอะไรมาก แต่เอาเข้าจริงก็ไม่ได้นอนเลยเหมือนกัน
วันแรกที่จัดค่ายเราไม่ได้ไปพร้อมลูกค่ายเพราะติดสอบนอกตารางตัวสุดท้ายก็เลยต้องตามไปค่ายทีหลังพร้อมกับเพื่อนอีกสามคน
ไปที่โรงเรียนก็ประมาณ 3 ทุ่มกว่าๆ
ยังไม่ได้ทันได้เห็นหน้าลูกค่ายชัดๆ
คนในฝ่ายก็เรียกตัวให้ไปเข้าครัวแล้ว ._.
หมกตัวอยู่แต่ในครัวจนกระทั่งฝ่ายสันพาน้องๆมากินข้าว ก็เลยได้ออกไปทักทายน้องๆบ้างเล็กน้อย น้องดูเพลียกันอาจจะเพราะใช้เวลาเดินทางมาไกลพอสมควร
จนกระทั่ง 22.30 น. โดยประมาณ
ก็ปล่อยให้ลูกค่ายแยกย้ายกันเข้านอน
ส่วนคนจัดค่ายน่ะหรอ... ประชุมต่อ
ประชุมเสร็จก็เกือบๆตีหนึ่ง
หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของฝ่ายตัวเองให้เสร็จแล้วเข้านอน เช่น ฝ่ายอาคารก็ไปเดินตรวจดูความเรียบร้อยตามห้องน้ำทางเดิน
ฝ่ายสวัสฯก็ต้องยกคูลเลอร์น้ำไปตั้งไว้หน้าห้องนอนลูกค่ายเผื่อมีคนหิวน้ำกลางดึก ฝ่ายครัว.. ที่จะต้องไปนั่งหั่นผักหั่นไก่เพื่อเตรียมไว้ทำกับข้าวสำหรับมื้อเช้าของวันพรุ่งนี้
กว่าจะได้นอนก็ตี 4 กว่าๆ
แล้วก็ต้องตื่นตอนตี 5
ใช่แล้วค่ะ..อ่านไม่ผิด ตี 5
บวกลบคูณหารแล้วเวลานอนไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
แต่แปลกที่ตอนตื่นไม่รู้สึกง่วงเลย
อาจจะเพราะตื่นเต้นที่ได้อยู่ฝ่ายครัวสมใจอยากลอง
บวกกับตอนออกมาหน้าห้อง
เงยหน้ามองท้องฟ้าตอน 05.05 น.
มันสวยมากๆ เลยจริงๆ
ดาวแน่นท้องฟ้า สะท้อนวิบวับแข่งกันใหญ่เลย
กะจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป แต่กล้องก็กากเกินไป..
จากที่ตาจริงเห็นดาวนับร้อย
แต่ในโทรศัพท์เห็นแค่สามดวง -_-
นี่แหละข้อดีของการมาอยู่ค่ายแถบชนบท
เป็นความสวยงามที่อาจจะหาไม่ได้เลยจากในเมือง
วันนั้นทั้งวันอยู่แต่ในครัว
ช่วงเวลาที่ลูกค่ายไปปล่อยปูกันที่ทะเล
ฝ่ายครัวไม่รอช้า รีบไปแอบเก็บชั่วโมงนอนสักสองชั่วโมงก็ยังดี
(อย่าบอกใครนะคะ -3-)
จนบ่ายสามก็ต้องเข้าครัวมาทำมื้อเย็นต่อ
คืนวันที่สองมีกิจกรรมรอบกองไฟเหมือนเข้าค่ายลูกเสือปกติ
แต่ปีนี้ดีตรงที่ป้าอารีผู้ดูแลศูนย์เพาะพันธุ์ปูได้จัดหาสถานที่ริมหาดไว้เพื่อให้ทางเราได้ไปจัดกิจกรรมริมหาดกัน
ได้ออกจากครัวก็คราวนี้แหละ!!!
ก่อนหน้าจะจัดค่ายก็ได้มาสำรวจพื้นที่ไว้บ้างแล้ว
จินตนาการไว้ว่ามันต้องสวยมากแน่ๆ
แต่พอวันจริง
มันเกินกว่าที่จินตนาการไว้มากๆ
เสียงคลื่นทะเลที่กระทบฝั่งเป็นระยะๆ
ดาวที่แน่นท้องฟ้าเหมือนตอนเช้ามืด
พระจันทร์ที่เกือบจะเต็มดวง
แสงจันทร์ที่สะท้อนบนผิวน้ำทะเล
ลูกค่ายที่นั่งล้อมกองไฟ
ชาวบ้านที่มานั่งดูการแสดงของพวกเราอยู่รอบๆ
เสียงเฮฮาจากทุกคน
ตอนนั้นเหมือนอยากเก็บช่วงเวลานี้ใส่ถุงซิปล็อคไว้จริงๆ
กิจกรรมดำเนินไปจนถึงเวลาสิ้นสุด
ลูกค่ายเดินทางกลับโรงเรียนที่เป็นที่พัก
ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จแยกย้ายกันเข้านอน
ผู้จัดค่ายประชุมกันต่อตอน 5 ทุ่มครึ่ง
และความโชคดีมันอยู่ตรงที่วันสุดท้ายของค่าย
พวกเราต้องไปปลูกต้นโกงกางกัน ซึ่งสถานที่ที่ไปปลูกมันเป็นทางผ่านระหว่างกลับมหาลัยพอดี
และแน่นอนว่ามื้อเที่ยงพวกเราก็ต้องไปกินที่นั่นด้วย
แล้วยังไงหรอ..?
ก็แสดงว่าฝ่ายครัวต้องเตรียมกับข้าวมื้อเช้าพร้อมทั้งข้าวห่อมื้อเที่ยงให้เสร็จก่อนเวลา 09.30 ยังไงล่ะ..
คืนนี้ไม่เหมือนคืนก่อน
จัดการภารกิจส่วนตัวเสร็จ
เข้าครัวต่อตอนตี 1 ครึ่ง
หั่นของเสร็จก็ตี 4
ตี 5 เริ่มทำกับข้าวมื้อเช้า
เสร็จของมื้อเช้าประมาณ 6 โมงกว่าๆ
พี่ๆในชมรมเข้ามาเปลี่ยนกะบอกจะทำแกงที่เหลือต่อเองให้ไปนอนได้ แต่ 8 โมงเช้าต้องตื่นมาเช้ามาเก็บของกลับกันนะ
ไม่ปฏิเสธ
จำได้ว่าตอนนั้นเบลอมากๆ
กระทิงแดงที่กินไปเหมือนจะหมดฤทธิ์
หัวถึงหมอนภาพก็ตัดไปแบบไม่ทันนับสองจบ
ตื่นมาอีกทีเหมือนจะสดใสขึ้นมาหน่อยนึง
หลังจากเก็บของเสร็จหมด เหลือทำพิธีปิดกับกิจกรรมเล็กๆน้อยๆ
จากที่เบลอๆก็รู้สึกเฟรชขึ้นมาเฉย เหมือนเห็นลูกค่ายสนุกเลยได้รับพลังงานแบบอัตโนมัติ
กิจกรรมดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งถึงเวลาไปปลูกป่า
แดดร้อนก็จริง แต่รู้สึกสนุกอยู่ดี
เพราะวันที่ลูกค่ายไปปล่อยปู นี่ก็ไม่ได้ไป
พอมาปลูกป่าก็เลยดีดกว่าปกติยิ่งกว่าคนเก็บกด
จบค่ายนี้ก็ทำให้รู้ว่า
-ไม่มีใครไม่เหนื่อย งานแต่ละฝ่ายก็เหนื่อยเหมือนกันแค่เหนื่อยคนละแบบ
-รอยยิ้มของคน สามารถทำให้เราใจชื้นขึ้นมาได้จริงๆ
-ตัดสินคนจากภาพลักษณ์ภายนอกไม่ได้จริงๆ ควรดูการกระทำของเขาจะดีกว่า
-บางสิ่งบางอย่างถ้าไม่เดินไปหามัน มันก็ไม่มีวันมาหาเราเหมือนกัน
-สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับบันทึกความทรงจำก็คือความรู้สึกของเรานี่แหละ
-ต้องลองออกไปเจอโลกภายนอกบ้าง มีอะไรอีกเยอะที่ต้องลองทำสักครั้งในชีวิต
สุดท้ายก็ขอบคุณทุกๆคนที่มีส่วนทำให้ค่ายแรกของรุ่น 21 ผ่านไปได้ด้วยดีแบบนี้
ขอบคุณมากๆเลยค่ะ
#ความเต็มใจอาสาพัฒนา
☔