
“น่ารักดีเนอะ ถ้าเป็นคุณก็คงจะดี” ตอนแรก...มันก็เป็นแค่ความคิดบ้า ๆ เพียงชั่ววูบที่แล่นเข้ามาในหัวของฉันขณะที่กำลังนั่งอยู่บนเบาะหลังของรถกระบะ ที่เบาะข้างคนขับคือพ่อ และมีคนขับเป็นเพื่อนสนิทของพ่อ
ฉันเพิ่งกลับบ้านเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือน หลังจากต้องไปเรียนมหาวิทยาลัยไกลบ้าน และการนั่งรถในครั้งนี้ก็เป็นความคิดของเพื่อนสนิทของพ่อที่เกิดอยากจะเลี้ยงอาหารเที่ยงฉันที่ไปเรียนไกลเสียหลายเดือน “คุณลุง” จึงอาสาทำหน้าที่ขับรถ พาเรา 2 พ่อลูกมายังร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า
ระหว่างเดินทางมา ฉันลอบมองไหล่ของคน 2 คนที่นั่งอยู่ด้านหน้า ทั้ง 2 ต่อบทสนทนากันอย่างออกรส ทำให้ฉันแอบคิดในใจว่า ทั้งพ่อและคุณลุงช่างพูดคุยถูกคอกันดีเหลือเกิน พลางทำให้หวนกลับไปนึกถึงช่วงเวลาก่อนหน้านี้ ที่ฉันมักจะเห็นคุณลุงแวะมานั่งเล่นที่บ้านเป็นประจำ นั่งจิบกาแฟคุยกับพ่อ เล่นกีต้าร์ด้วยกัน หลายครั้งที่ฉันอยู่บริเวณนั้น นั่งเงียบ ๆ ฟังเสียงของคน 2 คนหัวเราะ ร้องเพลง ดีดกีต้าร์ตัวเก่งด้วยกัน อย่างรู้สึกผ่อนคลาย ท่ามกลางกลิ่นควันบุหรี่ที่ล่องลอยปะปนกับกลิ่นหอมของกาแฟในยามบ่ายแก่ ๆ
เมื่อถึงเทศกาลต่าง ๆ คุณลุงมักนำของฝากมาให้คุณย่าของฉันเสมอ หรือแม้แต่ไม่ใช่ช่วงเทศกาลก็ตามที ที่น่าตกใจคือคุณลุงรู้ว่าฉันชอบกินอะไร และมักจะซื้อมาฝากบ่อยครั้ง บางทีอาจเพราะพ่อหลุดปากพูดให้ฟังก็ได้ แต่ก็น่าแปลกใจอยู่ดีที่เขาจำมันได้ เพราะฉันไม่ใช่คนในครอบครัวของเขาด้วยซ้ำ ...มีอยู่ครั้งหนึ่ง สมัยเรียนมัธยม...เมื่อกลับมาถึงบ้านแล้วพบว่า พ่อเล่าให้ฟังว่าเมื่อตอนที่ฉันไปโรงเรียน เขาได้ไปดูหนังเรื่องใหม่ที่โรงภาพยนตร์กับคุณลุงมาด้วย ทั้งที่ปกติเวลาดูหนัง ฉันมักจะดูกับพ่อที่บ้านเสมอ พ่อไม่เคยไปโรงภาพยนตร์กับฉันเลยสักครั้งเพราะบ่นว่าเปลืองเงิน แต่กลับไปดูกับคุณลุง ทำฉันแอบนึกน้อยใจคนเดียวอยู่หลายวัน แต่พอตอนนี้ลองกลับมาคิด ๆ ดูแล้ว ก็แอบคิดว่าเป็นเรื่องที่น่ารักดีอยู่เหมือนกัน
เหมือนคนพิเศษไปเดทด้วยกันเลย...
หลังจากรับประทานอาหารเที่ยงมื้อนั้นเสร็จโดยที่คุณลุงเป็นคนเลี้ยง เรา 3 คนก็เดินไปทำธุระต่อด้วยกันที่ชั้นอื่น ๆ ของห้าง ระหว่างที่เดินไป คุณลุงบังเอิญมองเห็นคนรู้จักเดินอยู่ไกล ๆ จึงพูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า...
“คนคนนั้นน่ะ เสียดายที่เขาไม่ได้ชอบผู้หญิงเหมือนคนปกติ เพราะเขาดูดีจะตายไป แปลกเนอะที่คนแบบนั้นมักเป็นคนที่ดูดี ไม่ใช่เหมือนเรา ๆ”
ฉันไม่ทราบที่มาที่ไปของคำพูดประโยคนี้หรอกนะว่าเขาต้องการประกาศเจตนารมณ์ ต้องการแสดงความคิดเห็น หรือวิพากษ์วิจารณ์อะไรกันแน่ เสียงตอบรับกลับไปจึงมีแค่เสียงหัวเราะเบา ๆ ของฉันกับพ่อเท่านั้น ไม่รู้สินะ...คงมีฉันที่แอบคิดไปเองอีกตามเคย ว่าเขาพูดปฏิเสธเพื่อกลบเกลื่อนอะไรบางอย่าง
เมื่อถึงเวลากลับบ้าน คุณลุงอาสาขับรถไปส่งฉันกับพ่อที่บ้านเหมือนเดิม หลังจากรถออกตัวไปได้ไม่นาน เขาก็หันมาพูดกับฉันว่า...
“พ่อก็อยู่คนเดียวมานานแล้วนะ เขาเหงาออก หนูคงจะยอมให้เขามีแม่ใหม่ได้แล้วเนอะ”
คำพูดนี้ทำให้ฉันนึกถึงภาพผู้หญิงอีกคนที่เป็นคนรักใหม่ของพ่อ ผู้หญิงคนนั้นจะเรียกว่าเป็นแม่ใหม่ของฉันก็คงไม่ได้ เพราะเราแทบไม่เจอกันเลย อย่าให้พูดถึงเรื่องบรรยากาศเมื่อเจอกัน มันอึดอัดเสียยิ่งกว่าอะไรดี แต่กระนั้นปฏิกิริยาตอบกลับของฉันต่อประโยคเมื่อครู่ก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับไปเสียทีเดียว
ฉันเพียงแค่คลี่ยิ้มบาง ๆ พอให้เขาสังเกตได้ผ่านทางกระจกมองหลัง แล้วคิดในใจตัวเองคนเดียวว่า...
.
.
.
เมื่อถึงเวลากลับบ้าน คุณลุงอาสาขับรถไปส่งฉันกับพ่อที่บ้านเหมือนเดิม หลังจากรถออกตัวไปได้ไม่นาน เขาก็หันมาพูดกับฉันว่า...
“พ่อก็อยู่คนเดียวมานานแล้วนะ เขาเหงาออก หนูคงจะยอมให้เขามีแม่ใหม่ได้แล้วเนอะ”
คำพูดนี้ทำให้ฉันนึกถึงภาพผู้หญิงอีกคนที่เป็นคนรักใหม่ของพ่อ ผู้หญิงคนนั้นจะเรียกว่าเป็นแม่ใหม่ของฉันก็คงไม่ได้ เพราะเราแทบไม่เจอกันเลย อย่าให้พูดถึงเรื่องบรรยากาศเมื่อเจอกัน มันอึดอัดเสียยิ่งกว่าอะไรดี แต่กระนั้นปฏิกิริยาตอบกลับของฉันต่อประโยคเมื่อครู่ก็ไม่ได้ปฏิเสธหรือยอมรับไปเสียทีเดียว
ฉันเพียงแค่คลี่ยิ้มบาง ๆ พอให้เขาสังเกตได้ผ่านทางกระจกมองหลัง แล้วคิดในใจตัวเองคนเดียวว่า...
.
.
.
“แต่ถ้าคน ๆ นั้นเป็นคุณก็คงจะดี...”
I AM PIMMIE►