
1
ฉันถูกระเห็จออกจากบ้าน
กองทัพฝุ่นปริมาณมหาศาลจากการก่อสร้างบุกเข้าโจมตีและยึดพื้นที่
สถานการณ์เลวร้ายยิ่งขึ้นเมื่อน้ำประปาหายไป และไฟถูกตัด
เรื่องมีอยู่ว่า พี่ชายของฉันอยากซ่อมแซมบ้านค่ะ เมื่อดูสภาพความโบราณของสิ่งปลูกสร้าง มันก็สมควรแก่เวลา ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า อยู่มาจนอายุเท่านี้ วันหนึ่งจะถูกเตะกระเด็นออกจากบ้านตัวเองแบบไม่มีที่ไป
ใช่ว่าฉันไม่มีเพื่อนหรือญาติอาศัยอยู่ในเมืองนี้ เพื่อนที่ฉันติดต่อขอรบกวนไว้ เธอก็ตอบรับมาแล้วตั้งแต่หลายเดือนก่อน แต่ทว่า จู่ๆ เธอดันติดธุระต้องไปต่างประเทศสามสัปดาห์ คุณแม่ของเพื่อนและคุณน้าของเธอก็ยังใจดีโทรมาตาม ไลน์มาตามให้ฉันไปพักด้วยเป็นการใหญ่
ไม่ใช่ว่าฉันไม่สนิทกับครอบครัวของเพื่อน แต่เพราะสนิท ถึงยิ่งเกรงใจมาก
หากฉันไปพักโดยที่เพื่อนไม่อยู่บ้านเช่นนี้ คำนวณจากนิสัยของตัวเองแล้ว จะอย่างไรฉันต้องไปช่วยบ้านเธอขายของเฝ้าหน้าร้านแน่นอน บ้านของเพื่อนทำการค้าขาย ฉันคงไม่ไปอยู่นิ่งๆ แน่
...ถ้าเป็นอย่างนั้น แล้วงานของฉันเองจะทำอย่างไรดี ถึงจะยังไม่คืบหน้ามากมาย แต่หนังสือที่ต้องอ่านก็ยังมีอีกเป็นกอง จะทำยังไงดี
หลังคิดอยู่สองวัน ฉันก็ตกลงใจ ไม่ขอความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้น ลงมือจองห้องพักในโรงแรมผ่าน agoda คิดเสียว่าเหมือนจองโรงแรมตอนไปเที่ยวแล้วกัน เลือกโรงแรมที่มันดูไม่ refine มากนัก ...ไม่รู้จริงๆ ค่ะว่าภาษาไทยควรใช้คำไหนดี แต่โรงแรม มันจะมีจริตบางอย่างที่เคร่งเครียด เคร่งขรึม พยายามสร้างบรรยากาศให้ดูเพอร์เฟค มันเป็นชนิดของความเนี้ยบที่ทำให้รู้สึกเกร็งแบบแปลกๆ
...คือถ้าไปเที่ยวเฉยๆ เราคงไม่รู้สึกอะไร ก็คนมันจะไปเที่ยวนี่ ขอแค่ได้ห้องสวย สะอาด ปลอดภัย ทำเลดีก็พอแล้ว ใช้แค่นอนตอนกลางคืน ตอนกลางวันก็ออกไปเตร็ดเตร่ที่อื่น
แต่คราวนี้ต่างกัน เพราะฉันไม่ได้ตั้งใจไปเที่ยวเล่นที่ไหน ฉันแค่อยากได้ที่ซุกหัวนอน สถานที่ที่ปลอดภัย เป็นส่วนตัว และเป็นห้องที่อยู่ได้ทั้งวันโดยไม่ต้องออกไปไหน สามารถใช้เวลาอยู่กับตัวเองได้เต็มที่
ฉันเลือกพักในโรงแรมแห่งหนึ่งที่ตกแต่งเหมือนบ้านไม้สมัยปลายรัชกาลที่ 7
เคยไปเยี่ยมบ้านเก่าของแม่ตอนเด็กๆ ที่นี่ให้บรรยากาศแบบนั้น โรงแรมสวย รีวิวดีงาม พื้นที่ส่วนกลางดี โต๊ะทำงานกว้างใหญ่ เตียงมุ้งเสาสูงสวยๆ แบบที่เคยเห็นตามรีสอร์ท ในห้องมีระเบียงให้อีกต่างหาก
โรงแรมดีเลยล่ะค่ะ
แต่ตลอดเวลาที่พักที่นั่น ฉันไม่ได้งานเลย...
ลำบากใจ หยิบเรื่องนี้ไปคุยกับเพื่อนอีกคน คุณเพื่อนสาวสวยสายเดินทาง เธอจัดกระเป๋าบินไปบินมาตลอดเวลา
คำแนะนำจากเพื่อนคนนี้คือ “ลอง Airbnb รึยัง?”
2
วันแรกที่ลากกระเป๋าเข้ามาอยู่บ้านคนอื่น บอกได้เลยว่ามันกว้าง มันโล่ง มันโปร่ง และอยู่แล้วก็สบายใจกว่าพักในโรงแรมมาก
ฉันไม่เคยรู้สึกว่าบ้านคนธรรมดามันจะต่างกับการพักในโรงแรมมากขนาดนี้...
แสงสว่างที่เพียงพอ ไม่ว่าจะแสงธรรมชาติ แสงไฟสำหรับอ่านหนังสือ(ที่ทำให้ทำงานยิงยาวถึงตี 2 ได้แบบสบายๆ) ทิวทัศน์นอกหน้าต่างที่มองไปตรงไหนก็เป็นหน้าต่าง หน้าต่าง และหน้าต่าง
...โรงแรมปัจจุบัน แทบไม่มีหน้าต่างเหลือไว้ให้แขกอีกแล้ว ห้องพักสวยๆ ถูกปรับปรุงไปเป็นห้องแบบหอพัก เตียง 2 ชั้น พักกัน 4 คน 8 คน รูปแบบการท่องเที่ยวของโลกมันเป็นไปในแนวทางนี้ และกระแสแบบนี้กำลังแพร่หลาย ถ้ายังเรียนมหาลัยหรือเป็นช่วงเริ่มต้นทำงานใหม่ๆ ตอนไปเที่ยว ฉันก็เคยพักแบบนี้ แต่เมื่อเวลาเปลี่ยน คนก็เปลี่ยน ฉันในวันนี้ อยากได้ความเป็นส่วนตัวมากกว่าที่เคยเป็นมากขึ้นกว่าเดิมมากนัก
ห้องที่ฉันเลือกพัก มีเดย์เบดตัวใหญ่กับโต๊ะเตี้ยหน้าทีวี มีโต๊ะทำงานตัวยาวที่มีไฟสองดวงส่องจากด้านบน และมีโคมไฟตัวเล็กของอิเกียขนาบซ้ายขวา มีเตียงใหญ่ที่หันหน้าออกหาหน้าต่าง ทันทีที่ลืมตาตื่น ก็จะมองเห็นท้องฟ้าสีฟ้าสดยาวต่อเนื่องเป็นผืนใหญ่ เพราะบานหน้าต่างยาวต่อกันจากผนังด้านหนึ่งจรดไปยังผนังอีกด้าน มีห้องอาบน้ำกึ่งเอาท์ดอร์ แถมมีครัวด้วย
ไม่เคยคิดเลยว่า ที่ครั้งหนึ่งเคยดูหนังเรื่อง The Holiday ของคาเมรอน ดิแอซ เวลาผ่านไปสิบกว่าปี แล้ววันหนึ่ง เราก็ได้มาอาศัยบ้านบ้านคนอื่นอยู่แบบนี้
คืนแรกที่นอนที่นั่น ฉันหลับไปอย่างไม่คิดอะไรมาก รู้แค่ว่าต้องปรับตัว สัปดาห์ก่อนนั้นผ่านไปอย่างสูญเปล่า เก็บของในบ้านอย่างรีบเร่ง ย้ายที่พักฉุกละหุก ถ้าไม่สามารถทำจิตใจให้สงบได้ ก็คงไม่สามารถเดินหน้าสานต่อสิ่งที่ตัวเองทำไว้ได้แน่
โชคดีที่โต๊ะทำงานตัวยาว และโต๊ะเตี้ยหน้าทีวีของที่นี่ดูจะเข้ากับฉันได้ดีมากค่ะ
ห้องเงียบสงบ กว้างขวาง โล่งสบาย ฉันอยู่เงียบๆ ไม่เปิดทีวี ไม่มีเสียงนักท่องเที่ยวลากกระเป๋าส่งเสียงรบกวนตึงตัง มีแต่เสียงเครื่องบินไกลออกไปเป็นเพื่อน อาจมีเสียงเครื่องจักรจากไซต์ก่อสร้างลอยเข้ามาในห้องบ้าง ไม่ก็คุณนกพิราบสีเทา 5-6 ตัวที่อยู่ใต้หลังคาบ้านหลังข้างๆ มันพยายามจะสอดส่องดูว่าฉันเป็นใคร เข้ามาทำอะไรที่นี่
สัปดาห์ที่พักอาศัยอยู่ที่นั่น ฉันค้นพบว่า “พื้นที่ส่วนตัว” เป็นสิ่งจำเป็นในการทำงาน มันไม่จำเป็นว่าฉันต้องเป็นเจ้าของ หรือเป็นผู้ถือครองกรรมสิทธิ์
...แค่โดนพี่ชายเตะออกจากบ้านเพราะจะซ่อมห้องน้ำกับห้องครัวที่บ้านก็ทำให้รู้ชัดแจ้งแก่ใจแล้วว่า แท้ที่จริง เราไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย เราไม่เคยเป็นเจ้าของอะไรทั้งนั้น และก็จะไม่ได้เป็นเจ้าของสิ่งใดก็ตามตลอดไป
คนบางคนอาจชอบทำงานท่ามกลางผู้คน มองไปรอบตัว มีร้านกาแฟและ co-working space ผุดโผล่ ...แต่ฉันก็แค่คนหนึ่ง ที่ขนาดสมัยอ่านหนังสือสอบ ยังไม่ไปอ่านหนังสือในห้องสมุด ไม่ไปอ่านหนังสือในร้านกาแฟเลย ก็นั่งอ่านเงียบๆ ในห้องของตัวเองไป
สุดท้าย มันก็จะกลับสู่คำถามพื้นฐาน คือการทำความรู้จักตัวเอง รู้ว่าภายใต้สภาพแวดล้อมแบบไหนที่เราจะทำงานออกมาได้ดีที่สุด สำหรับฉัน ความเงียบกับความเป็นส่วนตัวเป็นสิ่งจำเป็น แสงสว่างที่เพียงพอเป็นสิ่งจำเป็น และกระติกน้ำร้อนไว้ชงกาแฟดื่มอย่างน้อยวันละ 2 แก้วต่อวันเป็นสิ่งจำเป็น
ฉันไม่อาจเอื้อมจะอ้างถึง A Room of One’s Own ของคุณเวอร์จิเนีย วูฟ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เล่มนี้ฉันก็อ่านไม่รู้เรื่องและวางมันพักไว้ในกองดองต่อไป
แต่อย่างหนึ่งที่ฉันเห็นด้วยกับคุณเวอร์จิเนีย วูฟอย่างแน่นอนคือ ถ้าจะทำงานใช้ความคิด เราต้องมีพื้นที่ส่วนตัวสำหรับตนเอง
บางคนอาจเป็นโต๊ะทานข้าวในครัวหลังจากทุกคนในบ้านนอนหลับสนิท
บางคนอาจเป็นเช้าตรู่ในแพนทรีโล่งๆ ในที่ทำงาน ขณะที่ยังไม่มีเพื่อนร่วมออฟฟิศเดินทางมาถึง
หรืออาจเป็นที่นั่งแน่นขนัดนรถไฟฟ้า นั่งยาวสุดสาย ผู้คนเบียดเสียด แต่ก็เป็นตอนนั้นนั่นเองที่ความคิดพุ่งกระฉูดดีที่สุด
คนเราต่างกัน
พื้นที่ส่วนตัวของแต่ละคนก็แตกต่างกัน
ฉันถูกผลักออกมาจากพื้นที่ของตัวเอง ในเมื่อกลับไปใช้ไม่ได้ ก็มีแต่ต้องรุดหน้าหาพื้นที่แห่งใหม่เท่านั้น
3
ล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่ 3 เพื่อนของฉันเดินทางกลับจากต่างประเทศแล้ว และบ้านของฉันก็ยังซ่อมไม่เสร็จค่ะ
เคาน์เตอร์ครัวมาแล้ว ปั๊มน้ำกับหม้อต้มน้ำร้อนติดตั้งแล้ว ห้องอาบน้ำเสร็จเรียบร้อยดี ติดต่อการไฟฟ้าเรื่องขอเพิ่มมิเตอร์ไฟแล้ว กระเบื้องติดครบหมดแล้ว เหลือแค่ทาสี และบานประตูกระจกห้องน้ำแตกไประหว่างติดตั้ง ต้องรอสั่งทำและพ่นทรายอีก 8 วัน
ถ้าสงสัยว่าแค่ซ่อมห้องน้ำกับห้องครัวทำไมนานนักหนา คือเราจ้างช่างทำบางส่วน และ DIY บางส่วนค่ะ
ตลอดสัปดาห์นี้ ฉันก็เข้าบ้านไปทำความสะอาด ส่วนพี่ก็เก็บรายละเอียดส่วนที่ช่างทำไม่เรียบร้อย โป๊วรอยที่ผนัง ลบริ้วรอยแตกร้าว ขัดกระดาษทราย และลงรองพื้น... ทำมาสามวันแล้ว พึ่งจะได้เริ่มลงมือทาสีเย็นวันนี้นี่เอง ทำกันเองก็จะเสร็จช้าหน่อย แต่ก็ต้องทำแหล่ะค่ะ เพราะงบประมาณมันบานปลายมากแล้ว T____T
เนื่องจากฝุ่นจากการก่อสร้างยังหนาแน่นมาก และเพราะเพื่อนกลับมาแล้ว ฉันจึงย้ายตัวเองออกจากห้องพักแสนงามออกมานอนบ้านเพื่อน
การย้ายที่นอนเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 20 วัน มันทำให้ฉันรู้สึกถึง "คุณค่าของพื้นที่ส่วนตัว" อย่างถึงที่สุด ความรู้สึกตอนที่ตัดสินใจสร้าง work station ของตัวเองที่บ้านมันย้อนคืนกลับมา เพราะเมื่อ 7 ปีก่อน ฉันไม่มีกระทั่งพื้นที่ของตัวเอง
วันนั้น พอตกลงใจแล้วว่าจะเขียน ก็หยิบโต๊ะ หยิบเก้าอี้ หยิบปฏิทินตั้งโต๊ะมาวาง แล้วก็เริ่มลงมืออ่านเขียนทั้งหมดที่โต๊ะตัวนั้น ขอพี่ให้ช่วยติดไฟเพิ่มให้ และสร้างอาณาจักรหนังสือกับกองดองของตัวเอง
ความจริง พื้นที่ตรงนั้นเป็นที่ไหว้บรรพบุรุษค่ะ ดังนั้น ต้องคอยเก็บโต๊ะเคลียร์พื้นที่แบบเดือนเว้นเดือน เพราะเดี๋ยวก็วันตรุษ เดี๋ยวก็วันสารท เดี๋ยวก็วันครบรอบวันเสียคนนั้นคนนี้ แต่ถึงอย่างนั้น มันก็โอเค มันเป็น 1 ในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิต
คงเป็นเพราะการตัดสินใจครั้งนั้นนั่นเอง ...ไม่มีพื้นที่ของตัวเอง ก็สร้างมันขึ้นมาสิ หยิบโต๊ะพับกับเก้าอี้ที่ซุกตัวฝุ่นกลบในซอกหลืบของบ้าน ไม่ได้มีอะไรวิจิตรพิสดารหรือสวยงามเลย ทั้งต้องคอยต่อสู้กับแมวที่มุ่งแต่จะมายึดพื้นที่ มาฉี่ มาสะบัดขน แต่ก็เพราะพื้นที่ตรงนั้นนั่นเองถึงได้เขียน ได้แปล ได้อ่าน ได้เขียนโพสต์ลง storylog และทำงานต่างๆ ใช้เวลากับตัวเองมาตลอด 7 ปี
ไม่ได้เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สั่นสะเทือนโลก แต่เป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับชีวิตของฉันเอง
แค่โต๊ะกับเก้าอี้ตัวหนึ่ง
4
ความจริง โพสต์นี้ยาวเกินไปและควรจะจบได้แล้ว และเราก็ลังเลอยู่ว่าเนื้อหาในโพสต์นี้สมควรหยิบมาโพสต์ไหม เพราะเราวางเรื่องนี้พักไว้ 2 วันเนื่องจากยังไม่มีเวลานั่งพิมพ์ จนเสียงกระซิบในหัวเราเริ่มทำงานแล้ว
“ตลกน่า แกโพสต์ไปคนได้ขำฟันหักแน่ แกไม่เป็นมือโปรมากพอนี่ มือโปรน่ะ ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบไหน เค้าก็ต้องทำงานได้ทั้งนั้น” เสียงในหัวกล่าว
พอคิดแบบนั้น ก็รู้สึกว่าตัวเองช่างกระจอกเสียจริง ช่างเป็นไก่อ่อนจริงๆ เลย
Digital Nomad เค้ายังทำได้ เดินทางไปอยู่ที่ไหนในโลก ก็ยังทำงานกันได้แท้ๆ
กระแสเดินทางเที่ยวรอบโลกด้วยกระเป๋าเดินทางใบเดียว คนเค้าก็ทำได้กันนักต่อหนัก
นี่นับประสาอะไรกันกับแค่ย้ายออกจากบ้านไปนอนที่อื่น กระเป๋าเดินทาง 1 ใบยังไม่พอ ยังต้องมีใบลูกอีก 3 ใบตามติดมาพ่วงด้วย แถมยังต้องกลับเข้าบ้านไปซักผ้า หยิบเสื้อผ้าใหม่มาใส่อยู่ตลอด ...รู้สึกว่าตัวเองห่วยจริงๆ ค่ะ
แต่ก็เพราะการมาพักบ้านเพื่อน ฉันถึงได้คำตอบค่ะ
ที่บ้านเพื่อน แม้จะมีคนเข้าออกเพราะเป็นที่ค้าขาย แต่ห้องพักที่เธอจัดให้ใช้เงียบสงบ มีโต๊ะเก้าอี้ มีอากาศถ่ายเท และมีแสงสว่างเพียงพอ ห้องไม่ได้ผ่านการดีไซน์เหมือนห้องใน Airbnb แต่เป็นห้องเรียบร้อย ข้าวของน้อยชิ้น ให้ความรู้สึกสมถะเรียบง่ายแบบห้องหับในสถานปฏิบัติธรรม
แต่ก็เป็นที่นี่นี่เองที่ฉันทำงานเสร็จ และมีสมาธิกับการทำงานสูงสุด
สามารถตื่นแต่เช้า นอนหลับเช้า มีเวลาวิ่ง และทำงานเคลียร์เสร็จไปได้ทีละเรื่อง
จริงอยู่ สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับตัวเรามันช่วยได้มาก แต่สถานที่ไม่ใช่คำตอบ
แค่มีที่ซุกหัวนอน และมีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งทำงานอ่านหนังสือได้ แค่นี้ฉันก็พอใจแล้วล่ะ
สิ่งที่จำเป็นที่สุดเหนือสิ่งอื่นใด คือความมุ่งมั่นว่าต้องทำงานให้เสร็จให้ได้ และการนั่งลง เริ่มต้นทำงาน
สุขสันต์เดือนตุลาคม
ขอให้ทุกคนทำงานเสร็จลุล่วงไปด้วยดี
ถ้ามีใครจะไปสัปดาห์หนังสือ แนะนำหนังสือน่าสนใจไว้ได้เลยนะคะ (^___^)v
Happy Creating ka!
nananatte
10.10.2018
Writer
nananatte
storyteller
จัด sit down and write podcast
รีวิวหนังสือใน goodreads
เขียนโพสต์ใน storylog
ลงนิยายใน fictionlog กับ readawrite
เป็นคนทั่วไป ใช้ชีวิตเรียบๆ ในเมืองเล็กๆ
ชอบแมว เครื่องเขียน และกาแฟดำ
Comments
Izsasi
2 years ago
ขอบคุณในเรื่องราวที่เขียนให้ได้อ่านคับ เป็นหนึ่งคนเหมือนกันที่พลังสมาธิไม่มี ถ้าไม่อยู่คนเดียว
ห้องสมุดบางจุดแม้จะเงียบ แต่ความมีคนเยอะๆ มันทำลายพลังเหลือเกิน
..แต่อยู่คนเดียวอ่านหนังสือสอบ ไม่มีใครทำลายเรา เราก็เวิ่นทำลายตัวเองเรื่อย 555+
ห้องสมุดบางจุดแม้จะเงียบ แต่ความมีคนเยอะๆ มันทำลายพลังเหลือเกิน
..แต่อยู่คนเดียวอ่านหนังสือสอบ ไม่มีใครทำลายเรา เราก็เวิ่นทำลายตัวเองเรื่อย 555+
Reply
nananatte
2 years ago
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นต์ค่า
จริงๆ พอมัน 'จำเป็น' ปุ๊บ สมาธิจะมาเลยล่ะค่ะ 555 เอาเป็นว่าก็ค่อยๆ ฝึกกันไปละกันนะ!
สู้เค้านะคะ (^___^)v
จริงๆ พอมัน 'จำเป็น' ปุ๊บ สมาธิจะมาเลยล่ะค่ะ 555 เอาเป็นว่าก็ค่อยๆ ฝึกกันไปละกันนะ!
สู้เค้านะคะ (^___^)v