
เขียนเรื่องนี้ สืบเนื่องจากถามน้องใน blog ที่น่ารักคนหนึ่ง
ว่าอยากจะให้เขียนเรื่องอะไร
น้องบอกว่า "ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับดวงจันทร์"
เป็นเรื่องยากสำหรับเราตรงที่ไม่ค่อยมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มากนัก
แต่เราถนัดที่จะเอามาเปรียบเทียบในการใช้ชีวิต
กับความเป็นดวงจันทร์ มีหลายอย่างที่เราไม่รู้ บางเรื่องที่อ่านแล้วยังไม่เข้าใจ
จึงจะขอยกแต่ประเด็นที่อ่านแล้วเข้าใจ
และคิดว่า เป็นเรื่องที่เราน่าจะนำมาปรับใช้ได้ในชีวิตของเราได้
ในชีวิตของคนเราก็เช่นกัน
เรามองเห็นตัวเราในกระจกอย่างไร เราก็มองเห็นคนอื่นอย่างนั้น
คือ เราจะเห็นทีละด้าน ซึ่งไม่สามารถตัดสินได้ว่า คนๆ นั้นดีหรือไม่ดี
เราต้องใช้เวลาเรียนรู้และทำความเข้าใจ
ตัวเราเองก็เช่นกัน เราจะรู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น
เมื่อมีสถานการณ์ต่างๆ ผ่านเข้ามาให้เราปรับตัว
เราจะรู้ได้ว่า เราเป็นคนเข้มแข็งแค่ไหน อ่อนไหวมากเพียงใด
และสามารถพัฒนาขึ้นได้ในทุกวัน
ในเมื่อเราให้โอกาสตัวเองได้พัฒนาตน เราก็ควรให้โอกาสคนอื่นได้พัฒนาตนเช่นกัน
แรงโน้มถ่วงจากผู้คนก็เช่นกัน
เราได้รับอิทธิพลจากสิ่งรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น ผู้คน เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม สถานการณ์
และคนรอบข้างก็มีโอกาสได้รับอิทธิพลจากเราเช่นกัน
เมื่อเราได้รับความกดดัน หรืออยู่ในสภาวะตึงเครียด
แล้วหัวใจของเราไม่แข็งแรงพอ เราก็จะเกิดสภาวะของความทุกข์มากจนเกินไป
ทางออกที่เหมาะสมคือ เราควรยืดหยุ่นเหมือนน้ำ หมายถึงไม่ต่อต้านและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น
หัวใจเราจึงจะไม่อุดตัน และพบกับทางออกที่เหมาะสม เหมือนน้ำที่ไหลไปเจอทางระบายในที่สุด
เราคิดว่า 1 วัน = 24 ชั่วโมงบนโลกนี้
มันดูน้อยเกินไป ทำอะไรไม่ทัน
แล้วถ้าหากเราย้ายตัวเองไปอยู่บนดวงจันทร์
แค่เวลา 1 วันที่เนิ่นนานเกือบ 30 วันบนโลกนี้
คิดว่าเราจะทำอะไรดี คงรู้สึกว่ามันเยอะมาก เราสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
แต่คุณค่าของเวลามันไม่สำคัญที่ปริมาณ มันอยู่ที่เราเลือกใช้เวลาในแต่ละวันไปทำอะไร
หากมีเวลามาก เราก็จะยิ่งใช้ทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์น้อยกว่า เพราะเราคิดว่ามีเวลาอีกเยอะ
แต่ถ้าเรามีเวลาจำกัด เราจะโฟกัสไปทำในสิ่งที่สำคัญก่อนสิ่งที่ไม่สำคัญ
เราจึงจะรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่า ในแต่ละวัน เราทำอะไรได้อีกเยอะ
ดังนั้น การมีเวลาจำกัด ไม่ใช่ข้อจำกัด ในการทำในสิ่งที่เราอยากทำ
เราอาจเคยคิดว่า ตัวเราเองเคยมีด้านมืดของชีวิต
เคยทุกข์สุดๆ จนสุดจะทน แต่แล้วก็ผ่านมันไปได้
หรืออาจจะคิดว่า คนที่เรารู้จัก หรือเห็นในข่าวไม่ดี มีด้านมืดที่เรามองไม่เห็น
แต่ในด้านมืดของชีวิต หรือด้านมืดของจิตใจ จริงๆ แล้วมีแสงสว่างซ่อนอยู่ข้างใน
หากเรามองดีๆ ใช้ปัญญา เราจะสามารถก้าวผ่านด้านมืดของชีวิตไปได้
หรือหากเรามีด้านมืดของจิตใจ เราก็สามารถพลิกกลับไปคิดให้จิตใจสว่างได้เช่นกัน
เมื่อเปรียบดั่งถ้ำ มันจึงไม่ใช่มีแต่ความมืดซะทีเดียว
เพียงแต่เราต้องคอยหาแสงที่เล็ดลอดซึ่งอยู่ในระยะไกล
เมื่อเดินเข้าไปใกล้เราจึงจะพบทางออกที่ต้องการ
ขอเพียงมีความหวัง...เท่านั้นเอง
จากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เราได้รู้จักระบบจักรวาลมากขึ้นยังมีความรู้อีกมาก ที่มนุษย์ยังไปไม่ถึง และกำลังศึกษาเพิ่มเติม
ซึ่งในอิสลาม ได้ระบุความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ไว้อย่างชัดเจนว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นระบบนั้น เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ของพระเจ้า
พระองค์เป็นผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่ไม่มีประโยชน์สำหรับมนุษย์
เราจึงควรขอบคุณพระองค์ที่ทรงให้ชีวิต
และให้เราได้มีโอกาสสะสมความดีเพื่อรับผลตอบแทนอีกทีในโลกหน้า
ทุกส่ิงที่เกิดขึ้นบนโลก และระบบสุริยะจักรวาล
ถูกสร้างด้วยพระองค์ทั้งสิ้น ทุกอย่างรังสรรค์เป็นระบบอย่างดี และน่าทึ่งมากๆ
เช่น ดวงอาทิตย์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าดวงจันทร์ 400 เท่า แต่อยู่ห่างจากโลกมากกว่าดวงจันทร์ 400 เท่า
เราจึงมองเห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มีขนาดปรากฏเท่ากันพอดี
#วีทิต วรรณเลิศลักษณ์
และทุกสิ่งทุกอย่าง มีเกิด มีดับ
เราที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เมื่อจากโลกใบนี้ไป เราจะฟื้นคืนอีกครั้ง
เพื่อรับการตอบแทนในโลกหน้า โลกที่บางคนจะอยู่ในสวรรค์ตลอดกาล
และบางคนอาจจะต้องตกอยู่ในนรกชั่วกัปชั่วกัลป์ ตามผลงานที่เราทำไว้ในแผ่นดิน
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้คือ ทำสิ่งดีๆ ด้วยใจที่บริสุทธิ์ เพื่อพระองค์
หากเราคิดว่า เราเป็นแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนโลกนี้ที่ไม่มีคุณค่าใด
พึงรู้ไว้เถิดว่า เราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมาใช้ชีวิต เพราะพระองค์ทรงเมตตา
และรับรู้การเคลื่อนไหวในทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างเสมอ โดยไม่มีวันลืมเลือน
ทุกความคิด ทุกการกระทำ จะถูกบันทึกไว้ รอรับการตอบแทน
พระองค์ทรงเมตตาเสมอ
ทุกครั้งที่มีร่มเงาในขณะที่เราเดินทาง ตากแดด
เรามักจะมองไปยังบนฟ้า และขอบพระคุณพระองค์เสมอที่ทรงให้ร่มเงา
ขอบคุณพระองค์ที่ทรงช่วยเหลือบ่าวทุกคนบนโลกใบนี้เสมอ
เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีที่สุด
#takuma
====================================================================
สนใจอ่านบทความของคุณวีทิต วรรณเลิศลักษณ์
ได้ที่ http://www.scimath.org/lesson-physics/item/7294-moon
หรือสรุปเนื้อหาสั้นๆจากคุณเพชรมายา
ได้ที่ https://petmaya.com/19-moon-facts-you-never-learn
ว่าอยากจะให้เขียนเรื่องอะไร
น้องบอกว่า "ชอบเรื่องราวเกี่ยวกับดวงจันทร์"
เป็นเรื่องยากสำหรับเราตรงที่ไม่ค่อยมีความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มากนัก
แต่เราถนัดที่จะเอามาเปรียบเทียบในการใช้ชีวิต
เพราะทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ล้วนให้สติปัญญากับเราเสมอเราก็เลยลองค้นหาข้อมูลของดวงจันทร์ดู อ่านคร่าวๆ แล้วก็รู้สึกมหัศจรรย์
กับความเป็นดวงจันทร์ มีหลายอย่างที่เราไม่รู้ บางเรื่องที่อ่านแล้วยังไม่เข้าใจ
จึงจะขอยกแต่ประเด็นที่อ่านแล้วเข้าใจ
และคิดว่า เป็นเรื่องที่เราน่าจะนำมาปรับใช้ได้ในชีวิตของเราได้
1. ทั้งโลกและดวงจันทร์ต่างก็หมุนรอบซึ่งกันและกัน
แต่เราจะเห็นดวงจันทร์ในแต่ละครั้งเพียงด้านเดียว
#สรุปความจาก วีทิต วรรณเลิศลักษณ์ และเพชรมายา
ในชีวิตของคนเราก็เช่นกัน
เรามองเห็นตัวเราในกระจกอย่างไร เราก็มองเห็นคนอื่นอย่างนั้น
คือ เราจะเห็นทีละด้าน ซึ่งไม่สามารถตัดสินได้ว่า คนๆ นั้นดีหรือไม่ดี
เราต้องใช้เวลาเรียนรู้และทำความเข้าใจ
ตัวเราเองก็เช่นกัน เราจะรู้จักตัวเองมากยิ่งขึ้น
เมื่อมีสถานการณ์ต่างๆ ผ่านเข้ามาให้เราปรับตัว
เราจะรู้ได้ว่า เราเป็นคนเข้มแข็งแค่ไหน อ่อนไหวมากเพียงใด
และสามารถพัฒนาขึ้นได้ในทุกวัน
ในเมื่อเราให้โอกาสตัวเองได้พัฒนาตน เราก็ควรให้โอกาสคนอื่นได้พัฒนาตนเช่นกัน
2. เมื่อดาวดวงหนึ่งได้รับอิทธิพลจากแรงโน้มถ่วงจากดาวอีกดวงหนึ่ง
ด้านที่อยู่ใกล้จะได้ถูกดึงดูดมากกว่าด้านที่อยู่ไกล
ความแตกต่างของแรงทั้งด้านจะทำให้เกิดความเครียดภายใน
ถ้าเนื้อของดาวไม่แข็งแรงพอก็อาจจะทำให้ดาวแตกได้
ถ้าเนื้อของดาวมีความหยุ่นก็จะทำให้ดาวยืดออกเป็นทรงรี
เราเรียกแรงภายในที่แตกต่างนี้ว่า "แรงไทดัล" (Tidal force)
เนื่องจากเปลือกโลกเป็นของแข็ง
จึงไม่สามารถยืดหยุ่นตัวไปตามแรงไทดัลซึ่งเกิดจากแรงโน้มถ่วงของดวงจันทร์ได้
แต่ทว่าพื้นผิวส่วนใหญ่ของโลกปกคลุมด้วยน้ำในมหาสมุทร
จึงปรับตัวเป็นรูปทรงรี ตามแรงไทดัลที่เกิดขึ้น
ทำให้เกิดปรากฏการณ์ "น้ำขึ้นน้ำลง" (Tides)
#วีทิต วรรณเลิศลักษณ์
แรงโน้มถ่วงจากผู้คนก็เช่นกัน
เราได้รับอิทธิพลจากสิ่งรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็น ผู้คน เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม สถานการณ์
และคนรอบข้างก็มีโอกาสได้รับอิทธิพลจากเราเช่นกัน
เมื่อเราได้รับความกดดัน หรืออยู่ในสภาวะตึงเครียด
แล้วหัวใจของเราไม่แข็งแรงพอ เราก็จะเกิดสภาวะของความทุกข์มากจนเกินไป
ทางออกที่เหมาะสมคือ เราควรยืดหยุ่นเหมือนน้ำ หมายถึงไม่ต่อต้านและยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น
หัวใจเราจึงจะไม่อุดตัน และพบกับทางออกที่เหมาะสม เหมือนน้ำที่ไหลไปเจอทางระบายในที่สุด
3. ระยะเวลา 1 วันบนดวงจันทร์ จะเท่ากับ 29.5 วันบนโลก
นับจากดวงอาทิตย์ขึ้นและลับขอบฟ้า
#เรียบเรียงโดย เพชรมายา
เราคิดว่า 1 วัน = 24 ชั่วโมงบนโลกนี้
มันดูน้อยเกินไป ทำอะไรไม่ทัน
แล้วถ้าหากเราย้ายตัวเองไปอยู่บนดวงจันทร์
แค่เวลา 1 วันที่เนิ่นนานเกือบ 30 วันบนโลกนี้
คิดว่าเราจะทำอะไรดี คงรู้สึกว่ามันเยอะมาก เราสามารถทำอะไรได้มากกว่านี้
แต่คุณค่าของเวลามันไม่สำคัญที่ปริมาณ มันอยู่ที่เราเลือกใช้เวลาในแต่ละวันไปทำอะไร
หากมีเวลามาก เราก็จะยิ่งใช้ทำในสิ่งที่เกิดประโยชน์น้อยกว่า เพราะเราคิดว่ามีเวลาอีกเยอะ
แต่ถ้าเรามีเวลาจำกัด เราจะโฟกัสไปทำในสิ่งที่สำคัญก่อนสิ่งที่ไม่สำคัญ
เราจึงจะรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่า ในแต่ละวัน เราทำอะไรได้อีกเยอะ
ดังนั้น การมีเวลาจำกัด ไม่ใช่ข้อจำกัด ในการทำในสิ่งที่เราอยากทำ
4. ดวงจันทร์ไม่เคยมีด้านมืด
เพราะอีกด้านของดวงจันทร์ก็ถูกแสงอาทิตย์ส่งผ่านไม่ต่างกัน
ดังนั้น เราควรเรียกด้านของดวงจันทร์ว่า ด้านใกล้ และด้านไกล
#เรียบเรียงโดย เพชรมายา
เราอาจเคยคิดว่า ตัวเราเองเคยมีด้านมืดของชีวิต
เคยทุกข์สุดๆ จนสุดจะทน แต่แล้วก็ผ่านมันไปได้
หรืออาจจะคิดว่า คนที่เรารู้จัก หรือเห็นในข่าวไม่ดี มีด้านมืดที่เรามองไม่เห็น
แต่ในด้านมืดของชีวิต หรือด้านมืดของจิตใจ จริงๆ แล้วมีแสงสว่างซ่อนอยู่ข้างใน
หากเรามองดีๆ ใช้ปัญญา เราจะสามารถก้าวผ่านด้านมืดของชีวิตไปได้
หรือหากเรามีด้านมืดของจิตใจ เราก็สามารถพลิกกลับไปคิดให้จิตใจสว่างได้เช่นกัน
เมื่อเปรียบดั่งถ้ำ มันจึงไม่ใช่มีแต่ความมืดซะทีเดียว
เพียงแต่เราต้องคอยหาแสงที่เล็ดลอดซึ่งอยู่ในระยะไกล
เมื่อเดินเข้าไปใกล้เราจึงจะพบทางออกที่ต้องการ
ขอเพียงมีความหวัง...เท่านั้นเอง
จากความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่ทำให้เราได้รู้จักระบบจักรวาลมากขึ้นยังมีความรู้อีกมาก ที่มนุษย์ยังไปไม่ถึง และกำลังศึกษาเพิ่มเติม
ซึ่งในอิสลาม ได้ระบุความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ไว้อย่างชัดเจนว่า
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นระบบนั้น เกิดขึ้นจากการสร้างสรรค์ของพระเจ้า
พระองค์เป็นผู้ทรงสร้างทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกใบนี้ ไม่มีอะไรที่ไม่มีประโยชน์สำหรับมนุษย์
เราจึงควรขอบคุณพระองค์ที่ทรงให้ชีวิต
และให้เราได้มีโอกาสสะสมความดีเพื่อรับผลตอบแทนอีกทีในโลกหน้า
1. แท้จริง..ในการสร้างบรรดาชั้นฟ้าและแผ่นดิน และสับเปลี่ยนกลางคืนและกลางวัน
และเรือที่วิ่งอยู่ในทะเลพร้อมด้วยสิ่งที่อำนวยประโยชน์แก่มนุษย์
และน้ำ ที่อัลลอฮ์ทรงให้หลั่งลงมาจากฟากฟ้า
แล้วทรงให้แผ่นดินมีชีวิตชีวาขึ้นด้วยน้ำนั้น
และได้ทรงให้สัตว์แต่ละชนิดแพร่สะพัดไปในแผ่นดิน
และในการให้ลมเปลี่ยนทิศทาง และให้เมฆซึ่งถูกกำหนดให้บริการ(แก่โลก)
ผันแปรไประหว่างฟากฟ้าและแผ่นดินนั้น
แน่นอน ล้วนเป็นสัญญาณนานาประการแก่กลุ่มชนที่ใช้ปัญญา
(คัมภีร์อัล-กุรอาน บทอัล-บะกอเราะฮ์ ที่ 2:164)
ทุกส่ิงที่เกิดขึ้นบนโลก และระบบสุริยะจักรวาล
ถูกสร้างด้วยพระองค์ทั้งสิ้น ทุกอย่างรังสรรค์เป็นระบบอย่างดี และน่าทึ่งมากๆ
เช่น ดวงอาทิตย์มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาวกว่าดวงจันทร์ 400 เท่า แต่อยู่ห่างจากโลกมากกว่าดวงจันทร์ 400 เท่า
เราจึงมองเห็นดวงอาทิตย์และดวงจันทร์มีขนาดปรากฏเท่ากันพอดี
#วีทิต วรรณเลิศลักษณ์
และทุกสิ่งทุกอย่าง มีเกิด มีดับ
เราที่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้ เมื่อจากโลกใบนี้ไป เราจะฟื้นคืนอีกครั้ง
เพื่อรับการตอบแทนในโลกหน้า โลกที่บางคนจะอยู่ในสวรรค์ตลอดกาล
และบางคนอาจจะต้องตกอยู่ในนรกชั่วกัปชั่วกัลป์ ตามผลงานที่เราทำไว้ในแผ่นดิน
ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว สิ่งที่เราควรทำในตอนนี้คือ ทำสิ่งดีๆ ด้วยใจที่บริสุทธิ์ เพื่อพระองค์
2. และพระองค์ทรงรู้สิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน และในทะเล
และไม่มีใบไม้ใดร่วงหล่น นอกจากพระองค์จะทรงรู้มัน
และไม่มีเมล็ดพืชใดซึ่งอยู่ในบรรดาความมืดของแผ่นดิน
และไม่มีสิ่งอ่อนนุ่มใด และสิ่งที่แห้งใด นอกจากอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้ง
(หมายถึงอยู่ในความรู้ของพระองค์ โดยปราศจากการลืมเลือน
ประหนึ่งได้บันทึกไว้ในสมุดบันทึก)
(คัมภีร์อัล-กุรอาน บทอัล-อันอาม ที่ 6:59:2)
หากเราคิดว่า เราเป็นแค่สิ่งมีชีวิตเล็กๆ บนโลกนี้ที่ไม่มีคุณค่าใด
พึงรู้ไว้เถิดว่า เราโชคดีแค่ไหนที่ได้เกิดมาใช้ชีวิต เพราะพระองค์ทรงเมตตา
และรับรู้การเคลื่อนไหวในทุกสรรพสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างเสมอ โดยไม่มีวันลืมเลือน
ทุกความคิด ทุกการกระทำ จะถูกบันทึกไว้ รอรับการตอบแทน
3. และเรา (อัลลอฮ์) ได้ให้เมฆบดบังพวกเจ้า
(ให้เมฆบดบังแสงอาทิตย์ เพื่อให้ความร่มเย็นแก่พวกเขา
ในขณะเดินอยู่ในทะเลทราย)
(คัมภีร์อัล-กุรอาน บทอัล-บะกอเราะฮ์ ที่ 2:57:4)
พระองค์ทรงเมตตาเสมอ
ทุกครั้งที่มีร่มเงาในขณะที่เราเดินทาง ตากแดด
เรามักจะมองไปยังบนฟ้า และขอบพระคุณพระองค์เสมอที่ทรงให้ร่มเงา
ขอบคุณพระองค์ที่ทรงช่วยเหลือบ่าวทุกคนบนโลกใบนี้เสมอ
เพราะพระองค์เป็นผู้ทรงช่วยเหลือที่ดีที่สุด
#takuma
====================================================================
สนใจอ่านบทความของคุณวีทิต วรรณเลิศลักษณ์
ได้ที่ http://www.scimath.org/lesson-physics/item/7294-moon
หรือสรุปเนื้อหาสั้นๆจากคุณเพชรมายา
ได้ที่ https://petmaya.com/19-moon-facts-you-never-learn