
เมื่อไหร่ก็ตามที่เธอรู้สึกเศร้า
ฉันจะโอบกอดเธอไว้เพื่อไม่ให้เธอแหลกสลาย...
มันเป็นค่ำคืนหนึ่งที่ภาพตรงหน้าเลือนราง เหมือนอยู่กึ่งกลางระหว่างความจริงกับความฝัน จังหวะการเต้นของหัวใจเริ่มอ่อนแรงลงพร้อมกับลมหายใจที่รวยรินลงไปทุกที ทุกที จอง ฮวีอิน รู้สึกเหมือนตัวเองกำลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้า ไม่ใช่การเดิน แต่เหมือนกับการโบยบิน โบยบินไปตามเส้นทางขาวโพลนที่ทอดยาวออกไปไม่สิ้นสุด ภาพทรงจำในช่วงชีวิตตัดสลับเข้ามาเป็นระยะ ภาพในวัยเด็ก พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ล่องลอยเข้ามาในจิตสุดท้ายก่อนจะค่อย ๆ ดับไป
ความตายมันเป็นแบบนี้นี่เอง...
ความตายมันเป็นแบบนี้นี่เอง...
ติ๊ด...ติ๊ด...ติ๊ด...
“คนไข้ชื่อ จอง ฮวีอิน หมดสติจากการเสียเลือดและโอเวอร์โดส เช็คจากประวัติแล้วคนไข้มีภาวะซึมเศร้า และสันนิษฐานว่าเธอพยายามจะฆ่าตัวตายค่ะ”
เสียงเครื่องวัดชีพจรและเสียงแว่ว ๆ ของหญิงสาวไม่ทราบชื่อคนหนึ่งเปรียบเสมือนแรงฉุดกระชากฮวีอินที่กำลังก้าวผ่านเส้นความตายให้กลับเข้ามาในโลกของการมีชีวิต เธอรู้สึกตัวขึ้นทีละน้อยเพราะสายวัดอัตราการเต้นของหัวใจถูกแปะเข้าที่หน้าอก ในขณะเดียวกันก็มีท่อสายยางเล็กถูกสอดเข้าไปในจมูกของเธอ ข้อมือโชกเลือดกำลังถูกชะล้างด้วยแอลกอฮอล์ แต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บแสบ คงเป็นเพราะเธอชินและชาเกินกว่าจะเจ็บปวดกับเรื่องใด ๆ แล้ว
สิ่งที่พยาบาลสาวคนนั้นสันนิษฐานถูกต้องทุกอย่าง
เธอพยายามจะฆ่าตัวตาย...แต่เธอไม่ตาย
เสียงความโกลาหลเริ่มแล่นเข้ามาสู่โสตประสาทของเธอทีละน้อย ดวงตาคู่เล็กเบิกกว้างขึ้นกระทบเข้ากับแสงไฟสีขาวของห้องฉุกเฉิน แสงนั้นจ้าซะจนเธอต้องกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อสู้กับมัน สายยางที่ถูกสอดเข้าไปในจมูกทำให้เธอหายใจลำบากจนต้องใช้ปากเพื่อทำหน้าที่นั้นแทน และวินาทีนั้นเธอรู้สึกได้ถึงเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นที่ดังใกล้เข้ามาพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมชวนหลงใหล สายตาพร่ามัวของฮวีอินมองเห็นเป็นหญิงสาวในชุดขาว ผมดำขลับยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าของหล่อนเริ่มชัดเจนขึ้น ไม่ใช่เพราะความพร่าจากสายตาของเธอที่ลดลง แต่เป็นเพราะหล่อนยื่นในหน้าเข้ามาใกล้ มือนุ่มนวลสัมผัสกับใบหน้าซีดเซียวของเธออย่างแผ่วเบา ไออุ่นจากมือนั้นเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าเธอได้รอดพ้นจากความตายโดยสมบูรณ์แล้ว
“คุณไม่เป็นไรแล้วนะคะ หมออยู่นี่แล้ว”
หล่อนเอื้อนเอ่ยเสียงหวานใกล้ ๆ หู ฮวีอินรู้สึกถึงความสั่นไหวที่อกข้างซ้าย หัวใจที่เคยเต้นอย่างอ่อนแรงเริ่มกลับมาเต้นเป็นปกติ เครื่องวัดชีพจรเริ่มส่งเสียงดังถี่ขึ้น เธอจำได้ลาง ๆ ว่าหมอคนนั้นส่งยิ้มให้เธอ สายตาที่เริ่มปรับสภาพได้ดีแล้วค่อย ๆ กวาดมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างเฉยชา ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงที่ป้ายชื่อตรงกระเป๋าเสื้อกาวน์ของหล่อน
“แพทย์หญิง อัน ฮเยจิน”
“คนไข้ชื่อ จอง ฮวีอิน หมดสติจากการเสียเลือดและโอเวอร์โดส เช็คจากประวัติแล้วคนไข้มีภาวะซึมเศร้า และสันนิษฐานว่าเธอพยายามจะฆ่าตัวตายค่ะ”
เสียงเครื่องวัดชีพจรและเสียงแว่ว ๆ ของหญิงสาวไม่ทราบชื่อคนหนึ่งเปรียบเสมือนแรงฉุดกระชากฮวีอินที่กำลังก้าวผ่านเส้นความตายให้กลับเข้ามาในโลกของการมีชีวิต เธอรู้สึกตัวขึ้นทีละน้อยเพราะสายวัดอัตราการเต้นของหัวใจถูกแปะเข้าที่หน้าอก ในขณะเดียวกันก็มีท่อสายยางเล็กถูกสอดเข้าไปในจมูกของเธอ ข้อมือโชกเลือดกำลังถูกชะล้างด้วยแอลกอฮอล์ แต่เธอกลับไม่รู้สึกเจ็บแสบ คงเป็นเพราะเธอชินและชาเกินกว่าจะเจ็บปวดกับเรื่องใด ๆ แล้ว
สิ่งที่พยาบาลสาวคนนั้นสันนิษฐานถูกต้องทุกอย่าง
เธอพยายามจะฆ่าตัวตาย...แต่เธอไม่ตาย
เสียงความโกลาหลเริ่มแล่นเข้ามาสู่โสตประสาทของเธอทีละน้อย ดวงตาคู่เล็กเบิกกว้างขึ้นกระทบเข้ากับแสงไฟสีขาวของห้องฉุกเฉิน แสงนั้นจ้าซะจนเธอต้องกระพริบตาถี่ ๆ เพื่อสู้กับมัน สายยางที่ถูกสอดเข้าไปในจมูกทำให้เธอหายใจลำบากจนต้องใช้ปากเพื่อทำหน้าที่นั้นแทน และวินาทีนั้นเธอรู้สึกได้ถึงเสียงรองเท้าส้นสูงกระทบพื้นที่ดังใกล้เข้ามาพร้อมกับกลิ่นน้ำหอมชวนหลงใหล สายตาพร่ามัวของฮวีอินมองเห็นเป็นหญิงสาวในชุดขาว ผมดำขลับยาวถึงกลางหลัง ใบหน้าของหล่อนเริ่มชัดเจนขึ้น ไม่ใช่เพราะความพร่าจากสายตาของเธอที่ลดลง แต่เป็นเพราะหล่อนยื่นในหน้าเข้ามาใกล้ มือนุ่มนวลสัมผัสกับใบหน้าซีดเซียวของเธออย่างแผ่วเบา ไออุ่นจากมือนั้นเป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าเธอได้รอดพ้นจากความตายโดยสมบูรณ์แล้ว
“คุณไม่เป็นไรแล้วนะคะ หมออยู่นี่แล้ว”
หล่อนเอื้อนเอ่ยเสียงหวานใกล้ ๆ หู ฮวีอินรู้สึกถึงความสั่นไหวที่อกข้างซ้าย หัวใจที่เคยเต้นอย่างอ่อนแรงเริ่มกลับมาเต้นเป็นปกติ เครื่องวัดชีพจรเริ่มส่งเสียงดังถี่ขึ้น เธอจำได้ลาง ๆ ว่าหมอคนนั้นส่งยิ้มให้เธอ สายตาที่เริ่มปรับสภาพได้ดีแล้วค่อย ๆ กวาดมองไปรอบ ๆ ห้องอย่างเฉยชา ก่อนจะมาหยุดอยู่ตรงที่ป้ายชื่อตรงกระเป๋าเสื้อกาวน์ของหล่อน
“แพทย์หญิง อัน ฮเยจิน”
เป็นวันที่สองของการพักฟื้นในโรงพยาบาลของจอง ฮวีอิน ห้องสี่เหลี่ยมที่ดูเหมือนจะแคบกลับกว้างและเคว้งคว้างมากสำหรับเธอ ข้างเตียงไร้ซึ่งของประดับตกแต่ง ไม่มีแจกันดอกไม้ ไม่มีกระเช้าอาหาร และไร้วี่แววคนมาเยี่ยม จะมีก็แต่พยาบาลที่เข้ามาดูอาการเธอเป็นระยะ
เธอยันตัวเองลุกขึ้นนั่งบนเตียงคนไข้ ทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง แดดในยามบ่ายสาดสะท้อนเข้ามากระทบตัวเธอจนรู้สึกอุ่น จิตใจเธอยังคงว่างโหวง ไร้ซึ่งความรู้สึกต่อสิ่งใด ไม่ยินดียินร้าย ไม่กลัวแม้กระทั่งการจะหยุดลมหายใจของตัวเอง
ตลอดเวลา ฮวีอินเอาแต่เฝ้าหาเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ แต่สุดท้ายก็ไม่พบเหตุผลนั้น...
เธอก้มลงมองข้อมือซ้ายของตัวเอง มันเป็นข้อมือขาวซีดที่ถูกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวปิดทับบาดแผลที่เธอสร้างมันขึ้นมาเองกับมือ เพ่งมองด้วยสายตาแข็งกร้าวก่อนจะหลั่งน้ำตาอย่างเจ็บปวด นึกโมโหตัวเองที่ไม่ตาย ลามไปถึงโมโหสิ่งรอบข้างที่มาขัดขวางการตายของเธอ โมโหพยาบาล รวมถึงโมโหหมอที่ช่วยชีวิตเธอ มืออีกพยายามกระชากผ้าพันแผลจนมันขาดวิ่น รอยกรีดที่ข้อมือเผยออกมาให้เห็นอีกครั้ง เธอกดและบีบมันอย่างแรงราวกับมันไม่ใช่อวัยวะในร่างกายเธอ เลือดแดงฉาดไหลซึมออกมาจากแผลพร้อมการเปิดประตูเข้ามาของใครบางคน...หมอฮเยจิน
หล่อนตรงดิ่งเข้ามาจับแขนเธอไว้พลางจ้องมองมาที่เธอด้วยสายตาดุดัน แต่สายตานั้นก็อ่อนโยนลงเหมือนได้เห็นน้ำตาของฮวีอิน
“ปากแผลยังปิดไม่สนิท อย่าเพิ่งดึงผ้าพันแผลออกนะคะ”
หล่อนเอ่ยอย่างใจเย็น ก่อนจะหยิบอุปกรณ์ทำแผลที่อยู่ข้างเตียงมาบรรจงทำแผลให้เธอ
“อย่าช่วยฉันได้มั๊ย ปล่อยให้ตาย ๆ ไปเถอะ”
ฮวีอินพูดห้วน ๆ กับหล่อน พยายามดึงข้อมือเปื้อนเลือดนั้นกลับมาแต่ก็ไม่เป็นผล หมอฮเยจินยังคงจับมือเธอไว้แน่น และยังพยายามทำแผลให้เธอต่อไป
“แล้วทำไมคุณถึงต้องอยากตายขนาดนั้นล่ะ”
ผ้าพันแผลถูกพันกลับเข้ามาที่ข้อมือซีดเซียวนั่นอีกครั้ง
“เพราะฉันไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ต่อแล้วน่ะสิ”
“ไม่มีอะไรที่อยากทำต่อแล้วเหรอ”
“ไม่มี”
“พ่อแม่ล่ะ”
“ฉันไม่มีใครแล้วหมอ”
ฮวีอินตอบกึ่งตะคอก พลางปาดคราบน้ำตาที่กองอยู่บนแก้ม แต่ปฏิกิริยาตอบรับจากคนตรงหน้ากลับเป็นการพยักหน้าอย่างเข้าใจ
“คุณมีอะไรที่คุณชอบฟังมั๊ยคะ”
หล่อนนั่งลงข้าง ๆ เธอ ก่อนจะเอ่ยถาม และเมื่อเห็นว่าเธอยังคงสับสน หล่อนจึงอธิบายเพิ่มเติม
“พวกเพลง หรือเสียงต่าง ๆ อะไรพวกนั้นน่ะ”
“ฉันไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น”
“แม้แต่สิ่งนี้ก็ไม่อยากฟังเหรอ”
สเตทโคสโคปที่คล้องอยู่ที่คอหล่อนถูกปลดออกมาแล้วเลื่อนมาเสียบเข้าที่หูของฮวีอิน แพทย์สาวแนบแป้นฟังลงบนอกซ้ายของเธอ ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลง
ตึกตัก...ตึกตัก...ตึกตัก
ฮวีอินได้ยินเสียงนั้น...เสียงหัวใจเธอกำลังเต้น
“ได้ยินใช่มั๊ย เสียงหัวใจของคุณ”
หมอฮเยจินดึงหูฟังออกแล้วเสียบมันเข้าไปในหูของหล่อนเอง เสียงตึกตักนั้นย้ายเข้าไปดังก้องในโสตประสาทของหล่อนแทน
“เสียงนี้คือเสียงที่หมอชอบนะ เสียงหัวใจคุณน่ะ เพราะจะตายไป”
สเตทโตสโคปถูกหยุดการใช้งานในตอนนั้น หล่อนเก็บมันคล้องคอตามเดิม ฮวีอินรู้สึกดีที่หล่อนไม่ได้ฟังเสียงหัวใจของเธอต่อ เพราะเธอรู้ว่าหัวใจเธอกำลังเต้นแรงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนตรงหน้า และคงจะไม่ดีนักถ้าหล่อนสัมผัสมันได้
มือเล็กของฮวีอินถูกมือของอีกคนเข้ามากอบกุม แพทย์สาวลูบหลังมือเธอเบา ๆ สัมผัสนั้นมันนุ่มนวลแบบที่เธอไม่เคยได้สัมผัสมาก่อน หล่อนเลื่อนแขนขึ้นมาโอบกอดตัวเธอ แนบใบหน้าลงบนไหล่ก่อนจะโยกตัวไปมา กลิ่นหอมจากตัวหล่อนคละคลุ้งอบอวลอยู่โดยรอบ อ้อมกอดของหล่อนค่อย ๆ ทลายกำแพงความเศร้าในใจของฮวีอินลงช้า ๆ กอดที่เธอโหยหาและไม่เคยได้รับมันมาเนิ่นนาน
“มีชีวิตอยู่ต่อไปเถอะนะคะ เดี๋ยวมันก็ผ่านไป หมอจะอยู่ข้าง ๆ คุณเอง”
เสียงกระซิบแผ่วเบาของหมอฮเยจินถูกส่งมายังเธอ ฮวีอินหันไปสบตากับหล่อน ไร้ซึ่งคำเอื้อนเอ่ยใด ๆ อีก ลมหายใจอุ่นกระทบเข้ากับใบหน้าอีกคน ดวงตาทั้งสองสบกันเพียงชั่วครู่ก่อนจะหลับตาลงและกดจูบ
ริมฝีปากแห้งผากของฮวีอินอุ่นชื้นขึ้นจากการสัมผัสของแพทย์สาวตรงหน้า จูบที่แทนความหมายหลาย ๆ อย่าง จูบที่เธอไม่คิดว่าจะได้รับจากใครอีกแล้วในชีวิตนี้ จูบของหมอฮเยจินเป็นดั่งยารักษาจิตใจอันบอบช้ำของจอง ฮวีอิน
“รู้สึกดีขึ้นมั๊ยคะ”
หล่อนถามขึ้นทันทีที่ฮวีอินผละออก
“ขอโทษนะคะ คือฉัน...เผลอไปล่วงเกินคุณ”
ฮวีอินรีบเอ่ยออกไปแบบกระอักกระอ่วน พยายามก้มหน้าหลบหลีกจากการจ้องมองของอีกคน สายตาของหล่อนทำให้ภายในของเธอร้อนผ่าว
“ไม่เป็นไรค่ะ อะไรที่มันทำให้คุณรู้สึกดีขึ้น หมอยินดีทำ”
ฮวีอินยังคงก้มหน้า เธอยังคงเขินอายกับเหตุการณ์เมื่อครู่ จนหญิงสาวตรงหน้าต้องประคองใบหน้าเธอให้ขึ้นมาสบตากันอีกครั้ง
“หมออยากเห็นรอยยิ้มของคุณบ้าง ยิ้มให้หมอหน่อยสิคะ”
วินาทีนั้นฮวีอินเข้าใจแล้วว่าเหตุผลของการมีชีวิตอยู่ที่เธอตามหามาตลอดคืออะไร คนตรงหน้าเหมือนจะให้คำตอบได้อย่างชัดเจน
“ถ้าฉันยิ้มให้ คุณหมอจูบฉันอีกครั้งได้มั๊ยคะ”
END.
From Writer :
กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปอย่างยาวนานค่ะ เรื่องนี้ไม่มี NC แถมตัดจบเหมือนละครไทยอีก (แพนกล้องไปที่โคมไฟ) อย่าเพิ่งผิดหวังกันนะคะ มีเวลาจะแวะมาแต่งให้ทุกคนได้อ่านอีก คิดถึงรีดเดอร์ทุกคนค่ะ
#รักคนอ่าน
Comments
petite_S
3 years ago
ชอบบรรยากาศรอบๆ ตัวหมอฮเยจินจังค่ะ ดูสวย สงบ ใจดี และอบอุ่นดีจัง ต่อให้คนที่สิ้นหวังในชีวิตที่สุดในโลก มาเจอคนแบบนี้คงอยากมีชีวิตนานๆ กันทั้งนั้นแน่เลย
ชอบเรื่องแบบนี้น้า ไม่ต้องมี nc แต่ทำให้เขินได้อ่ะค่ะ ^^
ชอบเรื่องแบบนี้น้า ไม่ต้องมี nc แต่ทำให้เขินได้อ่ะค่ะ ^^
Reply