
" หมอต้องขอแสดงความเสียใจด้วย คุณไม่สามารถพูดได้เวลาที่คุณเศร้าได้ "
ในฐานะคนทำอาชีพที่คล้ายกับจิตแพทย์อย่างฉัน มัันเหมือนฟ้าผ่าลงกลางอก ก้อนความอึดอัดจุกอยู่ที่ลำคอและไร้เสียงตอบโต้หรือโอดครวญจากริมฝีปากนี้
"..."
(ฉันพูดไม่ได้ ในตอนทีี่ตัวเองสิ้นหวังที่สุดในชีวิต)
บางทีฉันอาจเป็นเหมือนรถไฟเหาะที่มีหน้าที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าแต่กลับตีลังกา ตกรางไปซะเอง
ฉันพยายามใช้ภาษามือปัดป่ายอากาศและกระดาษกับปากกาในการสื่อสารกับหมอให้เขารักษาอาการโรคประหลาดนี้ให้หายไป
แต่ผ่านมานับปี ฉันก็ยังไม่สามารถพูดได้ในตอนที่เศร้า....
....
นอกจากจะต้องออกจากงาน ฉันก็กลายเป็นคนเก็บกดไม่สามารถพูดระบายกับใครถึงตะปูที่ตอกบนจิตใจจนไม่มีที่ว่างเหลือ ทำได้เพียงชะล้างร่างกายด้วยน้ำตาในห้องสี่เหลี่ยมคนเดียวและลืมทุกอย่างที่ทำให้ฉันมีความสุข หนีออกจากอ้อมอกของพ่อแม่อันเป็นที่รัก ทิ้งขว้างตัวเองในอดีตไว้เบื้องหลัง
การเขียนบทความเรื่องสั้นลงในนิตยสารกลายเป็นงานประจำที่คู่ควรกับอดีตจิตแพทย์และคนที่เก็บเรื่องเศร้าไว้ในก้นลึกของหัวใจมากมายที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
กิจวัตรที่โปรดปรานของฉันคือการทอดมองผู้คนที่เดินผ่านร้านกาแฟอย่างรื่นเริง เสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนานดังกล่อมหูให้เพลิดเพลิน...แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ดวงตาคู่นี้สามารถมองทะลุเนื้อหนังที่แสดงตรงข้ามกับความรู้สึกอันสิ้นหวัง
(คนเหล่านั้นควรได้รับการเยียวยา)
ทุกๆ ครั้งที่ฉันรับฟังถ้อยคำสั่นเครือและแววตาเจิงด้วยน้ำสีใส มันทำให้ฉันได้เข้าไปอยู่ในก้นลึกของพวกเขา เหล่าความรู้สึกที่ฉันสามารถสัมผัสตัวตนของคนเหล่านั้นได้และเศร้าไปพร้อมกับมัน...ทำให้ฉันรู้สึกมีคุณค่าขึ้นมา
แต่ตอนนี้ฉันไม่มีคำพูดปลอบโยนอีกแล้ว...
"พี่ฮะ"
เสียงเด็กน้อยวัยประถมต้นลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับฉันโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ช่างเป็นเด็กที่ใจกล้า
"มีอะไรหรือเปล่าครับ พ่อแม่หนูล่ะ"
ถึงแม้จะแปลกใจกับการกระทำที่กล้าเกินเด็กไร้เดียงสาแบบเขาแต่ด้วยความเป็นพลเมืองหนึ่งในประเทศแห่งนี้ การให้ความช่วยเหลือสักนิดคงไม่เกินกำลังกับหญิงที่สิ้นหวังอย่างฉัน
"ผมอยากให้พี่ฟังเรื่องที่เจ็บปวดของผม ผมว่าพี่ทำหน้าที่นี้ได้ดี"
คำตอบที่ไม่ตรงคำถามและคำพูดคำจาของเด็กน้อยคนนี้ที่เหมือนจะรู้ภูมิหลังของฉันเป็นอย่างดีได้หยุดกาลเวลาในห้วงชีวิตให้แน่นิ่ง แต่เพราะความสุขุมทำให้ต้องเก็บอาการตื่นตูมไว้และรักษาท่าที
"เล่ามาสิครับผม"
ความใจกล้าทำให้ฉันอยากท้าทายเรื่องเล่าจากปากของเขา เด็กน้อยนั่งตัวตรงมือกุมไว้ที่หน้าตัก
"แม่ของผมจากผมไปในตอนที่ผมพึ่งขึ้นอนุบาล สิ่งที่ผมจำได้เกี่ยวกับแม่เพียงอย่างเดียวคือจิตใจที่อ่อนโยนและเปราะบางของแม่"
"ตอนที่ผมขึ้นประถม ผมไม่สามารถร้องไห้ได้เวลาที่ผมเศร้าและเจ็บปวด ผมไม่สามารถระบายความเศร้าได้ มันเป็นโรคประหลาดที่ไม่มีทางรักษา"
ปลายประสาทแทบทุกส่วนของร่างกายเหมือนได้รับรู้เพียงแค่เรื่องเล่าจากเด็กน้อยตรงหน้าถึงอาการของโรคประหลาดที่เกี่ยวกับความเศร้าและความเจ็บปวด
ซึ่งเขาป่วยคล้ายๆกับฉัน
หญิงที่เป็นใบ้ในเวลาเศร้าและเด็กน้อยที่ไม่ร้องไห้ในเวลาที่เจ็บปวด
ไม่รู้ว่าตอนไหนที่น้ำตาอาบไหลทั้งสองแก้ม มันแทนความรู้สึกทั้งหมดที่คำพูดไม่สามารถทำได้
มีคำพูดมากมายที่ฉันอยากปลอบเด็กน้อยคนนี้แต่อาการของโรคประหลาดก็กลับมาอีกครั้ง ฉันพูดไม่ได้ในเวลาที่เศร้านจับขั้วหัวใจ
ฉันพยายามเอ่ยเสียงออกมาแต่กลับพบว่าตัวเองแค่พะงาบๆปากเหมือนปลาที่ขาดน้ำ ฉันทำได้เพียงดึงเด็กคนนั้นไว้ในอ้อมอก
"พี่สาวไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมาหรอกฮะ"
เสียงอู้อี้ดังเล็ดลอดออกมา วงแขนน้อยๆกอดตอบอย่างอบอุ่น
"พี่ไม่จำเป็นต้องพยายามพูดปลอบผมในตอนที่ผมเศร้าที่สุด..."
"ความจริงผมดีใจนะฮะ...ที่ตอนนี้พี่ไม่สามามารถพูดอะไรออกมาได้ นั่นหมายความว่าพี่พร้อมที่จะเศร้าไปกับผมและเข้าใจถึงความเจ็บปวดของผม"
"และผมดีใจที่พี่สามารถร้องไห้ออกมาแทนผมได้ ผมดีใจจริงๆนะฮะ"
คำพูดของเด็กน้อยที่รู้จักตัวตนฉันเป็นอย่างดี ช่วยดึงเศษเสี้ยวของความสุขที่หลงลืมไปให้กลับมาทีละชิ้น ทีละชิ้น จนในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่ทิ้งขว้างความสุขของตัวเองไป
ในฐานะคนทำอาชีพที่คล้ายกับจิตแพทย์อย่างฉัน มัันเหมือนฟ้าผ่าลงกลางอก ก้อนความอึดอัดจุกอยู่ที่ลำคอและไร้เสียงตอบโต้หรือโอดครวญจากริมฝีปากนี้
"..."
(ฉันพูดไม่ได้ ในตอนทีี่ตัวเองสิ้นหวังที่สุดในชีวิต)
บางทีฉันอาจเป็นเหมือนรถไฟเหาะที่มีหน้าที่ขับเคลื่อนไปข้างหน้าแต่กลับตีลังกา ตกรางไปซะเอง
ฉันพยายามใช้ภาษามือปัดป่ายอากาศและกระดาษกับปากกาในการสื่อสารกับหมอให้เขารักษาอาการโรคประหลาดนี้ให้หายไป
แต่ผ่านมานับปี ฉันก็ยังไม่สามารถพูดได้ในตอนที่เศร้า....
....
นอกจากจะต้องออกจากงาน ฉันก็กลายเป็นคนเก็บกดไม่สามารถพูดระบายกับใครถึงตะปูที่ตอกบนจิตใจจนไม่มีที่ว่างเหลือ ทำได้เพียงชะล้างร่างกายด้วยน้ำตาในห้องสี่เหลี่ยมคนเดียวและลืมทุกอย่างที่ทำให้ฉันมีความสุข หนีออกจากอ้อมอกของพ่อแม่อันเป็นที่รัก ทิ้งขว้างตัวเองในอดีตไว้เบื้องหลัง
การเขียนบทความเรื่องสั้นลงในนิตยสารกลายเป็นงานประจำที่คู่ควรกับอดีตจิตแพทย์และคนที่เก็บเรื่องเศร้าไว้ในก้นลึกของหัวใจมากมายที่ไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้
กิจวัตรที่โปรดปรานของฉันคือการทอดมองผู้คนที่เดินผ่านร้านกาแฟอย่างรื่นเริง เสียงพูดคุยและหัวเราะอย่างสนุกสนานดังกล่อมหูให้เพลิดเพลิน...แต่ก็มีคนบางกลุ่มที่ดวงตาคู่นี้สามารถมองทะลุเนื้อหนังที่แสดงตรงข้ามกับความรู้สึกอันสิ้นหวัง
(คนเหล่านั้นควรได้รับการเยียวยา)
ทุกๆ ครั้งที่ฉันรับฟังถ้อยคำสั่นเครือและแววตาเจิงด้วยน้ำสีใส มันทำให้ฉันได้เข้าไปอยู่ในก้นลึกของพวกเขา เหล่าความรู้สึกที่ฉันสามารถสัมผัสตัวตนของคนเหล่านั้นได้และเศร้าไปพร้อมกับมัน...ทำให้ฉันรู้สึกมีคุณค่าขึ้นมา
แต่ตอนนี้ฉันไม่มีคำพูดปลอบโยนอีกแล้ว...
"พี่ฮะ"
เสียงเด็กน้อยวัยประถมต้นลากเก้าอี้มานั่งตรงข้ามกับฉันโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
ช่างเป็นเด็กที่ใจกล้า
"มีอะไรหรือเปล่าครับ พ่อแม่หนูล่ะ"
ถึงแม้จะแปลกใจกับการกระทำที่กล้าเกินเด็กไร้เดียงสาแบบเขาแต่ด้วยความเป็นพลเมืองหนึ่งในประเทศแห่งนี้ การให้ความช่วยเหลือสักนิดคงไม่เกินกำลังกับหญิงที่สิ้นหวังอย่างฉัน
"ผมอยากให้พี่ฟังเรื่องที่เจ็บปวดของผม ผมว่าพี่ทำหน้าที่นี้ได้ดี"
คำตอบที่ไม่ตรงคำถามและคำพูดคำจาของเด็กน้อยคนนี้ที่เหมือนจะรู้ภูมิหลังของฉันเป็นอย่างดีได้หยุดกาลเวลาในห้วงชีวิตให้แน่นิ่ง แต่เพราะความสุขุมทำให้ต้องเก็บอาการตื่นตูมไว้และรักษาท่าที
"เล่ามาสิครับผม"
ความใจกล้าทำให้ฉันอยากท้าทายเรื่องเล่าจากปากของเขา เด็กน้อยนั่งตัวตรงมือกุมไว้ที่หน้าตัก
"แม่ของผมจากผมไปในตอนที่ผมพึ่งขึ้นอนุบาล สิ่งที่ผมจำได้เกี่ยวกับแม่เพียงอย่างเดียวคือจิตใจที่อ่อนโยนและเปราะบางของแม่"
"ตอนที่ผมขึ้นประถม ผมไม่สามารถร้องไห้ได้เวลาที่ผมเศร้าและเจ็บปวด ผมไม่สามารถระบายความเศร้าได้ มันเป็นโรคประหลาดที่ไม่มีทางรักษา"
ปลายประสาทแทบทุกส่วนของร่างกายเหมือนได้รับรู้เพียงแค่เรื่องเล่าจากเด็กน้อยตรงหน้าถึงอาการของโรคประหลาดที่เกี่ยวกับความเศร้าและความเจ็บปวด
ซึ่งเขาป่วยคล้ายๆกับฉัน
หญิงที่เป็นใบ้ในเวลาเศร้าและเด็กน้อยที่ไม่ร้องไห้ในเวลาที่เจ็บปวด
ไม่รู้ว่าตอนไหนที่น้ำตาอาบไหลทั้งสองแก้ม มันแทนความรู้สึกทั้งหมดที่คำพูดไม่สามารถทำได้
มีคำพูดมากมายที่ฉันอยากปลอบเด็กน้อยคนนี้แต่อาการของโรคประหลาดก็กลับมาอีกครั้ง ฉันพูดไม่ได้ในเวลาที่เศร้านจับขั้วหัวใจ
ฉันพยายามเอ่ยเสียงออกมาแต่กลับพบว่าตัวเองแค่พะงาบๆปากเหมือนปลาที่ขาดน้ำ ฉันทำได้เพียงดึงเด็กคนนั้นไว้ในอ้อมอก
"พี่สาวไม่จำเป็นต้องพูดอะไรออกมาหรอกฮะ"
เสียงอู้อี้ดังเล็ดลอดออกมา วงแขนน้อยๆกอดตอบอย่างอบอุ่น
"พี่ไม่จำเป็นต้องพยายามพูดปลอบผมในตอนที่ผมเศร้าที่สุด..."
"ความจริงผมดีใจนะฮะ...ที่ตอนนี้พี่ไม่สามามารถพูดอะไรออกมาได้ นั่นหมายความว่าพี่พร้อมที่จะเศร้าไปกับผมและเข้าใจถึงความเจ็บปวดของผม"
"และผมดีใจที่พี่สามารถร้องไห้ออกมาแทนผมได้ ผมดีใจจริงๆนะฮะ"
คำพูดของเด็กน้อยที่รู้จักตัวตนฉันเป็นอย่างดี ช่วยดึงเศษเสี้ยวของความสุขที่หลงลืมไปให้กลับมาทีละชิ้น ทีละชิ้น จนในที่สุดฉันก็รู้แล้วว่าตัวเองได้ทำผิดพลาดครั้งยิ่งใหญ่ที่ทิ้งขว้างความสุขของตัวเองไป
ผมคิดถึงแม่นะฮะ
Written in this book
Story from WHITEBEAR
ถ้าหากหมีขาวหยุดเล่นกับเจ้าก้อนสีขาวที่แฝงด้วยความหนาวเย็นและลองแต่งเติมตัวอักษรให้กับมันแทน :)