
สวัสดีคุณดอกไม้ตัวเราเองเป็นคนไม่ค่อยพูด (เมื่ิอก่อนนี้อ่ะนะ)
บอกแบบนี้จะหาว่าโกหก
เพราะใครต่อใครก็จะเห็นว่าเราเป็นคนพูดมาก คุยนั่นคุยนี่ได้ไม่หยุดไม่หย่อน
ที่ว่าไม่ค่อยได้พูดน่ะ
คือไม่ค่อยได้พูดสิ่งที่คิดจริงๆ มากกว่า
ฟังเขาพูดซะส่วนมาก คิดอะไรไม่ค่อยบอกหรอก
ถึงเขาจะถาม ก็จะตอบอะไรที่เขาน่าจะรับได้ไป
มันก็เหมือนจะดีอ่ะนะ
ความดาร์กไซด์ของเรื่องนี้ก็คือ
บางทีเราอยากจะพูดสิ่งที่คิดออกไปบ้างแหละ
แต่ถ้าไปพูดกับคน ก็กลัวว่าเขาจะตกใจ
เพราะบางทีมันก็มีคำอะไรที่มันหยาบคายบ้าง
ไม่ตรงใจเขาบ้าง พูดไปคนฟังไม่น่าจะรับได้
เพราะเอาจริงๆ เราก็มองโลกค่อนไปทางแง่ร้าย
แล้วเราใจร้อนนะ อารมณ์ขึ้นง่ายด้วย
(ถึงได้ไม่ค่อยพูดไง)
เราก็เลยหาผู้รับฟังที่ไม่ใช่คนมาฟังเราพูดซะเลย
หน้าที่นั้นก็เลยตกเป็นของคุณดอกไม้ไป
คุณดอกไม้ในแจกันบนโต๊ะเขียนหนังสือถือว่าเป็นผู้ฟังที่ดีเลยล่ะ ไม่เถียง ไม่บ่น ไม่ถอนหายใจ ตั้งหน้าตั้งตาฟังเราพูดไปอยู่คนเดียว
เรารู้ตัวนะว่าเราพูดกับตัวเองคนเดียว
ไม่ได้คิดว่าดอกไม้เป็นคนหรืออะไร
แค่เหมือนกับว่าเราอยากหาที่ระบายสิ่งที่มันสุมสะสมอยู่ในหัวเราออกมาบ้างก็แค่นั้น
ซึ่งเราว่าการพูดกับตัวเองมันก็มีข้อดีหลายอย่าง
มันทำให้เราจัดการความคิดเราได้ดีขึ้น
รู้ว่าเราคิดอะไรอยู่ เรื่องของเรื่องมันคืออะไร
เวลามีปัญหาเรามองเห็นปัญหาชัดขึ้น
อารมณ์เดือดๆ มาก็จัดการเป็นที่ปรึกษา
เอาน้ำเย็นเข้าลูบตัวเองเรียบร้อยเลยเสร็จสรรพ
มันก็เหมือนจะดีอ่ะนะ
นานพอสมควร มีคนแอบเห็นว่าเราพูดคนเดียวอยู่บ่อยๆ เขาก็คงจะเป็นห่วงแหละ
คนปกติเขาไม่มานั่งพูดคนเดียวกันหรอก
พูดคนเดียวมากๆ เดี๋ยวก็เป็นบ้า!
เอาล่ะสิ หรือเราไม่ปกติ?
บวกกับอารามกลัวว่าตัวเองจะเป็นบ้า
เราก็เลยตัดสินใจบ๊ายบายคุณดอกไม้
ย้ายคุณดอกไม้ในแจกันไปไว้ด้านนอกแทน
(ไม่งั้นพอเห็นตั้งอยู่ก็จะอดพูดออกมาไม่ได้อีกล่ะ)
รู้สึกบนโต๊ะเขียนหนังสือมันโล่งขึ้นมานิดนึงนะ
มันก็เหมือนจะดีใช่มั้ย?
ตอนแรกๆ เราก็มีอึดอัดนิดนึงนะ
แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ผ่านไปพักใหญ่ๆ เราถึงเริ่มมีความคิดว่า
ทำไมเราไม่ลองพูดสิ่งที่คิดให้คนอื่นฟังบ้างล่ะ
มันก็สองจิตสองใจแหละนะแต่สุดท้ายก็ตัดสินใจลอง อยากรู้เหมือนกันจะเป็นไง
ก็ดี คนที่คุยด้วยก็ไม่ได้ว่าอะไรนะ คุยไปได้เรื่อยๆ
เราก็เลยได้คุยกับคนอื่นๆ แบบพูดสิ่งที่คิดออกมามากขึึ้นนับแต่นั้น
คิดว่ามันจะดีแบบนี้ไปเรื่อยๆ ซะอีกนะ
แต่เราประเมินสิ่งที่เรียกว่า
ความเคยชิน ความคุ้ยเคย สนิทสนม ต่ำไป
เป็นธรรมชาติของคนแหละเนอะ
พอเราเคยทำได้ เราก็ย่ามใจ ความยั้งคิดก็ลดลงเรื่อยๆ กลายเป็นว่าเราปล่อยไปเต็มที่เลยทีนี้
คิดอะไรก็พูดออกมาหมด
สุดท้ายคนอื่นเลยเริ่มรับไม่ได้
อาจจะไม่เคยเห็นเรามุมนี้ด้วยแหละมั้ง
เลยไม่รู้ว่าเรามองโลกยังไง มีทัศนคติแบบไหน
มันคงต่างจากภาพจำที่เขาเคยเห็นหรือคิดไว้
แบบนี้ไม่ได้นะ คิดแบบนี้ได้ไงเนี่ย
ฟังก่อนสิอย่าเพิ่งพูด ต้องอย่าพูดแบบนี้สิ
ก็ไม่ได้แย่นักหรอก
มันก็เหมือนกับว่ามีคนมาสะท้อนความคิดของเรา ว่าบางทีมันก็ไม่ถูกนะ
ซึ่งเราก็รู้อยู่ แต่ที่พูดก็แค่ว่า
อยากพูดออกมาบ้าง ว่าเราคิดแบบนี้แค่นั้นเอง
อืมมมมมมมมมมมมมมม
ผลก็คือ เราอึดอัดอ่ะ
มันแย่ตรงที่เราเคยได้พูดสิ่งที่คิดออกมาแล้ว
แล้วต้องมาคอยยั้งปากไว้
ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนก็ยั้งตัวเองได้แบบไม่ต้องพยายามหรือรู้สึกฝืนใจอะไรมากมาย
มันเลยยิ่งอึดอัดมากกว่าไม่เคยได้พูดออกมาตั้งแต่แรกซะอีก
นั่นแหละ
คุณดอกไม้ในแจกันก็เลยกลับมารับตำแหน่งบนโต๊ะเขียนหนังสือของเราอีกครั้ง
ส่วนตัวเราเองก็กลับไปเป็นดอกไม้ในแจกัน
ให้กับคนอื่นๆ เหมือนเคย :)
Written in this book
รู้สึก.ก็เขียน.