
“ทำยังไงถึงได้ทำงานที่ไมโครซอฟต์อะพี่?” น้องคนหนึ่งถามขณะที่ยื่นหนังสือให้ผมเซ็น
ผมยื่นหนังสือที่เซ็นแล้วกลับคืนพร้อมคำตอบ “สมัครไงครับ”
ดีนะ...เลือดไม่กลบปาก
ในความที่ดูเหมือนกวนตีนหน่อยๆ (เหรอ?) แต่ในนั้นมีความจริงแฝงตัวอยู่นะครับ
คงเหมือนที่เวลามีคนถามผมว่า “ผม/หนูอยากเขียนหนังสือ พี่เริ่มยังไงเหรอครับ?” ผมก็มักจะตอบคล้ายๆกันครับว่า “เขียนไงครับ” แบบนี้แหละ (ถึงตอนนี้เริ่มแปลกใจอยู่ว่ายังมีคนคบกับกูอยู่เหรอและตอนเป็นเด็กกูรอดการถูกยำตีนมาได้ยังไง)
ผมเป็นคนแบบนี้แหละครับ พอรู้สึกว่าอยากลองทำอะไร ถ้ามันอยู่ในขอบเขตความสามารถของเราในขณะนั้น เราก็ทำสิ รออะไรล่ะ? รอราหูอมจันทร์สุริยุปราคาพระอาทิตย์โลกพระจันทร์มาเรียงตัวกันรึไง? (นี้ควรโดนตบปากซะทีนะ) หรือว่าจะรอให้ตัวเองพร้อมก่อนแล้วค่อยทำอย่างนั้นนะเหรอ?
Paulo Coelho (นักเขียน/นักแต่งเพลงชื่อดังชาวบราซิลเจ้าของผลงานหนังสือ “The Alchemist”) พูดเอาไว้ว่า
“วันหนึ่ง คุณจะตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าไม่มีเวลาเหลือให้คุณทำในสิ่งที่ต้องการทำอีกต่อไป ทำตอนนี้เลย!”
ผมถือคติเดียวกันกับเขานั้นแหละครับ ถ้าอยากทำแล้วสิ่งที่ทำไม่ได้ส่งผลกระทบในทางลบให้กับชีวิตตัวเองหรือคนที่ผมรักรอบตัว ผมก็ทำ สำเร็จไหม? นั้นคนละเรื่องกันครับ สำหรับผมแล้วการได้ลงมือทำเป็นเรื่องสำคัญกว่าการมานั่งจับจ้องถึงภาพลวงตาที่เรียกว่า “ความสำเร็จ” ที่ปลายอุโมงค์ ซึ่งสำหรับผม ในหลายๆครั้งแค่การได้เริ่มลงมือทำอะไรสักอย่างที่อยากทำก็ถือว่าสำเร็จไปครึ่งหนึ่งแล้ว
อารมณ์มันคล้ายกับการหลงรักข้างเดียวแล้วเก็บเงียบเอาไว้ รอว่าสักวันหนึ่งเขาจะหันมาสบตาแล้วด้วยปาฎิหารย์ของลูกศรกามเทพคิวปิด เสี้ยววินาทีนั้นคลื่นซึนามิแห่งอารมณ์พัดถล่มหัวใจของเขาจนสามารถล่วงรู้ทุกอย่างที่คุณเก็บเป็นความลับในก้นบึ้งของหัวใจ ความรักอันแสนงามแสนหวานก็เกิดขึ้นภายในฉับพลัน...ขอโทษนะครับ คน...ไม่ใช่ปลากัด รักก็บอก มองแล้วจะหวังให้อีกฝ่ายหนึ่งท้องป่องก็ไม่ใช่ ไม่บอกก็อย่าไปหวังให้อีกฝ่ายตรัสรู้เองได้ แต่ถ้าทำไปแล้วล้มเหลวหน้าแหกกลับมาก็มีข้อดีตรงที่ว่าตอนนี้เราสามารถ move on ไปข้างหน้า ทุ่มเวลาให้กับความฝันอื่น (หรือคนอื่น) แทนโดยไม่กังขากับคำถาม “ถ้าทำ...ถ้าหาก...ถ้าเกิดว่า...” อีกต่อไป
ช่วงชีวิตตอนที่ผมได้รับโอกาสเขียนต้นฉบับหนังสือ “The Nerd of Microsoft” นั้นสาหัสเอาการ ลูกสาวเพิ่งอายุได้หกเดือน ช่วงกลางวันผมต้องทำงานประจำที่ร้านขายของ กลับบ้านตอนหกโมงเย็น ป้อนข้าวป้อนนมลูกอาบน้ำให้เขา เสร็จตัวเองก็สลับกับภรรยาทานข้าวเย็น หลังจากนั้นก็ไปส่งเตี่ยแม่เข้านอน เสร็จธุระอะไรหมดเกือบๆสามทุ่ม อุ้มกล่อมลูกนอนปาไปสี่ทุ่ม ช่วงชั่วโมงครึ่งต่อจากนี้แหละครับที่มีเวลาพิมพ์งานอย่างจริงจัง จะลากยาวกว่านั้นก็ไม่ได้ เพราะยังมีขวดนมถ้วยชามลูกที่ยังต้องล้าง บางคืนต้องไปทำน้ำซุปต่อ เสร็จก็เกือบเที่ยงคืนครึ่ง เวลานี้ลูกสาวก็จะตื่นรอบแรก อุ่นนมป้อนนมเปลี่ยนผ้าอ้อม มองดูนาฬิกาเฉียดตีหนึ่งแทบทุกคืน และช่วงนั้นเขาจะตื่นทุกๆสองสามชั่วโมงแล้วแต่ว่าฟันขึ้นไหม มีไข้รึเปล่า เป็นหวัดไม่สบายไม่ต้องพูดถึงครับ ไม่ต้องนอนกันยันสว่างเลยแหละ
อาทิตย์หนึ่งเขียนได้ตอนสองตอนเป็นอย่างมาก
ซึ่งในความสุขที่ได้อุ้มลูกและเห็นพัฒนาการของเขา การเลี้ยงลูกกันเองสองผัวเมียเป็นเรื่องที่ท้าทาย อิดโรย อ่อนล้า และหลายๆครั้ง การไม่ได้นอนติดต่อกันเป็นเวลาหลายๆคืนทำให้ผมเริ่มท้อ “กูไม่ไหวแล้ว” ไม่ก็ “ยอมแพ้ดีกว่าไหม” เหนื่อยนะ.....ชีวิตไม่เคยเหนื่อยแบบนี้มาก่อน และไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งที่ต้องต่อสู้กับความคิดว่า “ควรหยุดแล้วรอกลับมาเขียนตอนที่พร้อมกว่านี้ดีกว่าไหม?”
มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ที่รู้สึกอ่อนล้า ไม่ว่าคุณจะเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งดุจภูเขาเหลียงซาน ความคิดเชิงลบแนวนี้มักโผล่ขึ้นมาในจังหวะที่สายตาเราจดจ้องกับปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ มืดมนคล้ายไร้ทางออก แทนที่จะคิดถึงเหตุผลว่าทำไมเราถึงตัดสินใจลงแรงเริ่มทำตรงนี้ตั้งแต่แรก อยากหยุดทุกอย่างและทิ้งมันไว้ตรงนั้นแหละแล้วค่อยว่ากันวันหลัง ไม่รู้หรอกว่าคนอื่นๆมีทางออกกับปัญหานี้ยังไง แต่สำหรับผมแล้วผมจะถามคำถามนี้กับตัวเอง
“ถ้านี้คือโอกาสครั้งเดียวในชีวิตล่ะ?”
ตอนนั้นแหละครับที่สติจะค่อยๆเริ่มกลับเข้ามาประกอบร่างกับกายหยาบ (นี้คือสติได้หลุดลอยออกไปไหนต่อไหนแล้วนะ) และกลับมาฮึดทำต่อไปเรื่อยๆ เรี่ยวแรงที่มีน้อยนิดแค่ไหนก็ถูกบีบเค้นออกมาใช้จนเกลี้ยงถังทุกวัน แต่ผมก็ทำ…ทำเท่าที่ทำได้ ทำเพราะเห็นรู้ว่าโอกาสในการได้ออกหนังสือกับแซลมอนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ถ้าเกิดเลิกล้มกลางคันเพียงเพราะคำว่า “ยังไม่พร้อม” อีกห้าสิบปีข้างหน้า ระหว่างที่นั่งเล่นหมากรุกกับเพื่อนสูงวัยที่บ้านพักคนชรา ผมคงเฝ้าแต่ถามตัวเองว่า “ถ้าทำ...ถ้าหาก...ถ้าเกิดว่า...วันนั้นผมเขียนหนังสือเล่มนั้นจนจบล่ะ?” มันจะเป็นยังไงนะ มันคงเป็นคำถามที่คาใจที่ไร้ซึ่งคำตอบตลอดกาล
มีคนเคยพูดเอาไว้ว่าโอกาสจะมาถึงผู้ที่พร้อมรับมันเอาไว้เท่านั้น มันดูไม่ค่อยแฟร์นะ แล้วคนที่ไม่พร้อมล่ะ? เขาไม่ได้โอกาสเลยเหรอ? ไม่ครับ ดูผมเป็นตัวอย่าง จังหวะชีวิตไม่เคยเหมาะสม ชีวิตไม่เคยไม่มีปัญหา ไม่เล็กก็ใหญ่ เหนื่อย ล้า ท้อ สิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องปกติ แต่ถ้า “โอกาส” มาเคาะประตูแล้วเรามัวแต่ตอบว่า “ยุ่งอยู่ ไว้ค่อยมาวันหลัง” และพอมาถึงวันที่พร้อม นั่งเฝ้าคอยรอโอกาสหวนวนกลับมาอีกครั้ง เสียงเคาะประตูอาจจะไม่ดังอีกเลยสักครั้งเดียว
==========
ติดตามผลงานอื่นๆได้ที่ bookster.blog
โพสต์ครั้งแรกที่ : https://bookster.blog/2017/05/04/talk-of-the-nerd/
Writer
sopons
writer
ผมมีความสุขกับการอ่านหนังสือ ชอบเดินทางไปในที่ใหม่ๆ เรียนรู้วัฒนธรรมที่แตกต่าง พบเจอเรียนรู้ผู้คน รักการถ่ายรูปและธรรมชาติ มีความสุขทุกครั้งที่ได้นั่งมองเหม่อดูเมฆเคลื่อนตัวบนท้องฟ้า นอนบนทุ่งหญ้าแล้วดมกลิ่นดินที่ลอยคลุ้ง รักและมีความสุขกับการได้คลุกตัวอยู่กับการเขียนหนังสือ ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนและพร้อมรับฟังความคิดเห็นเสมอครับ - โสภณ ศุภมั่งมี
ผลงานหนังสือ : The Nerd of Microsoft, คิดสุดปลายเท้า, สวิสที่ฝัน ในวันที่ตื่น, คิวชู | ภูเขา | เงาจันทร์ |
blog : aftertomorrow.co |
fb/tw/ig : sopons |
Columnist : The Matter, the101.world, GQ Thailand, Don't Magazine |
Writer : สนพ. Salmon | Work Contact : 0891919698
Comments
Keatparitus
3 years ago
ขอบคุณแรงบันดาลใจดีๆครับ :)
Reply
sopons
3 years ago
ดีใจที่มันส่งแรงบันดาลใจดีๆต่อไปครับ :)