
บางครั้งคุณก็มองหาป้ายบอกทาง แต่ป้ายมันแปะอยู่บนหน้าผาก จนกระทั่งคุณเดินไปหยุดอยู่หน้ากระจก คุณถึงจะเห็น
ในห้องกว้างที่แทบไม่มีทางเดิน คุณนั่งอยู่บนโซฟาหุ้มด้วยหนัง มีแสงลอดเข้ามาเล็กน้อย คุณไม่ได้ใส่ใจว่านี่มันเป็นเวลากลางวันหรือกลางคืน
เหมือนที่แยกไม่ออกระหว่างคำว่าดันทุรังกับวิสัยทัศน์ ที่ผ่านมาคุณคิดว่าคุณกำลังเดินทางอยู่ บางทีคุณลืมสนใจว่าจะไปถึงได้หรือไม่และอย่างไร จนเมื่อได้เดินช้าๆ คุณถึงจะเริ่มคิดว่าคุณอาจกำลังหลงทาง
ชีวิตสั้น ตลอดมาคำๆ นี้มักทำให้ความคิดของคุณสั้นตามไปด้วย
คุณมาที่นี่เพื่อบำบัด แต่ที่นี่ไม่มีบริการนั้น สิ่งที่ใกล้เคียงที่สุดคือบริการ 'อภิปรายเพื่อแลกเปลี่ยนวิธีคิด' เพราะคำว่า 'ป่วย' จะทำให้ผู้หลงผิดจิตตกไปกว่าเดิม
ห้องนี้มีสองประดู คนก่อนหน้าทุกคนที่เข้าไปไม่ใครออกมาทางเดิม คุณรู้เพราะคุณเห็นชายคนหนึ่งใส่แจ๊กเก๊ตสีรุ้งที่รออยู่ก่อนหน้าย้ายไปนั่งอยู่ในสนามหญ้านอกอาคารตอนที่คุณถูกเรียกเข้าห้อง
ห้องนี้แปลกมาก คุณไม่เคยมาที่นี่ แต่คุณรู้สึกได้ถึงความคุ้นเคย คุณชอบที่นี่
คุณกำลังไล่สายตาไปรอบๆ ทั้งๆ ที่ไม่คิดจะจดจำรายละเอียดใดๆ เพราะคุณเข้ามาเพียงเพื่อจะออกไป เหมือนที่คุณไม่ใส่ใจจะจำชื่อใครนัก เพราะคุณรู้ว่าอีกไม่นานก็ต้องจากกัน
แต่ก็มีบางคนที่จากไปนานแต่ก็ยังจำได้ดี
"มึงไปไหนมา"
บทสนทนาเริ่มขึ้น คุณหันกลับมาหาต้นเสียงที่จู่ๆ ก็มานั่งอยู่ตรงข้ามคุณโดยที่คุณไม่รู้ตัว
เขาหน้าเหมือนคุณ
เสียงเหมือนคุณ แต่เขาไม่ใช่คุณ
เพราะเขามีความมั่นใจมากเกินไปเมื่อเทียบกับคุณตอนนี้
"แล้วไง มึงคิดว่ามึงเรียนผิดคณะ แล้วมึงก็เลยทำตัวลอยๆ เบลอๆ แบบนี้งั้นเหรอ ขำสัสๆ การศึกษาทำให้ชีวิตสับสนจริงๆ มึงนี่"
"มึงไม่รู้ว่ามึงชอบอะไร กูก็ไม่รู้เหมืนกัน คนเค้าทำงานเพื่อหาแดก มึงเข้าใจมั้ยคำนี้"
"ไอที่มึงขีดๆ เขียนๆ นี่มันแค่การพร่ำบ่นเรื่อยเปื่อย ใครมาอ่านมันก็แค่ทำให้รู้สึกว่ามีเพื่อน ถ้าเขากำลังรู้สึกแบบมึง แต่มึงน่ะสิ จะอยู่ยังไง สำนักพิมพ์ที่ไหนจะสน บรรณาธิการที่ไหนจะแคร์ มึงจะรู้ได้ไง ว่ามึงไม่ได้เป็นแค่คนธรรมดาคนนึงที่อ่านออกและเขียนได้"
"อย่าเพิ่งบอกว่าเข้าใจ ถ้าทุกครั้งที่กลับบ้านพ่อมึงยังต้องเอาเงินยัดใส่มือมึงมาทุกครั้ง ไอกระจอก"
"พ่อแม่เป็นห่วงลูกทุกคน แต่มันใช่เวลามั้ยที่เค้ายังต้องห่วงมึงขนาดนี้ มึงจบ ป.ตรีนี่ มึงดูออกมั้ย ว่าพ่อแม่มึงแก่ขนาดไหนแล้ว ห๊ะ!"
"คนคนนึงจะดูแลตัวเองได้นี่มันไม่ยากนะ อันดับแรกคือมึงต้องเลิกอ้าปากเวลาอาหารมันกำลังเคลื่อนลงมาจากเครื่องป้อน มึงเข้าใจมั้ย ความภูมิใจของมึงอยู่ตรงไหนวะ"
"มึงจะเอาไง มึงคิดเอาเอง คิดไม่ออกก็ต้องคิด เผลอแป๊บเดียวจะสามสิบแล้ว นี่มึงไปอยู่ไหนมา ทำไมเพิ่งมาเอาป่านนี้นะ ห่าเอ้ย!"
"มึงคงจะมึนไม่น้อยสินะ ว่าอยู่ดีๆ คนแปลกหน้าที่ไม่เคยเจอทำไมมาตะโกนโหวกเหวกโวยวายใส่มึงเหมือนมึงไปทำผิดร้ายแรง"
"บางทีคนอย่างมึงอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามึงเป็นใคร ไม่เป็นไร แต่ถ้ามึงไปเล่าแล้วคนอื่นเขาถามว่ากูคือใคร"
"บอกเขาว่ากูชื่อ ชีวิตจริง ตามนั้น กูไปล่ะ"
"อ่อแล้วหัดเก็บกวาดซะบ้าง ห้องมึงเนี่ย รกไปหมด มีทั้งความเพ้อฝันที่ไม่เป็นรูปเป็นร่าง ความเป็นไปได้ที่ไม่รู้ว่ามีไปทำไม ความท้อแท้ การดูถูกตัวเอง ความเชื่อที่บั่นทอนสัญชาตญาณ อะไรอีกหลายอย่างที่มีแต่จะทำให้มึงมองไม่เห็นทางออกจากห้องแห่งนี้"
"แล้วป้ายบนหน้าผากมึงน่ะ ลบข้อความเดิมแล้วเขียนใหม่ซะว่า 'ว่างงาน' ก่อนที่ความภูมิใจจะน้อยจนไม่เหลือ มึงก็น่าจะรู้ว่ากูหมายถึงอะไร"
เขาเดินหายลับไปในซอกหลืบที่มีสิ่งของวางระเกะระกะ คุณไม่ได้ยินเสียงประตู แต่คุณรู้ ว่าคุณกำลังอยู่เพียงลำพังอีกครั้ง
ไม่มีข้อบังคับว่าต้องออกจากห้องเมื่อใด
เพราะผู้ก่อตั้งที่นี่รู้ดีว่าอย่างไรเสียทุกคนก็ต้องออกไปอยู่ดี
เพราะอากาศธรรมชาติที่แท้จริงมีกลิ่นหอมแดดที่มนุษย์ไม่สามารถเลียนแบบได้
แต่อาจจะใช้เวลานานไม่เท่ากัน เพราะบางคนก็กลัวแสงแดดเกินกว่าที่จะออกมาเผชิญกับความแสบร้อนจากอาการผิวไหม้เกรียม
Written in this book
Low energy
เมื่อจิตใจอ่อนแรง พลังภายในตกต่ำ หลายกิจกรรมถูกทิ้งร้าง เหลือไม่กี่อย่างที่ยังพอทำได้ หนึ่งในนั้นคือการจดบันทึก