
“เออ ไปๆ”
และด้วยความใจง่ายในตอนนั้น มหกรรมการแพลนทริปเที่ยววังเวียงอันยาวเหยียดจึงเริ่มต้นขึ้น
เพื่อนร่วมทริปครั้งนี้มีด้วยกัน 3 คน และเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย อันที่จริงพวกเราเคยพยายามจัดทริปรวมแกงค์กันมาตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักที อาจเป็นเพราะเรามีสมาชิกเกือบจะถึง 15 คน ทำให้การรวมกลุ่มของผู้หญิงจำนวนเท่านี้เป็นเรื่องยากมากขึ้น เพราะบางคนก็เยอะซะเหลือเกิน 555+
กำหนดการของเรา คือ ไปค้างที่อุดรฯ 1 คืน แล้วนั่งรถบัสต่อไปวังเวียง และอยู่ที่นั่น 2 คืน แล้วค่อยแวะไปเวียงจันทน์อีก 1 คืน ก่อนจะกลับเข้าอุดรฯเพื่อบินกลับกรุงเทพฯ
เพื่อนร่วมทริปครั้งนี้มีด้วยกัน 3 คน และเป็นเพื่อนกลุ่มเดียวกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมปลาย อันที่จริงพวกเราเคยพยายามจัดทริปรวมแกงค์กันมาตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จสักที อาจเป็นเพราะเรามีสมาชิกเกือบจะถึง 15 คน ทำให้การรวมกลุ่มของผู้หญิงจำนวนเท่านี้เป็นเรื่องยากมากขึ้น เพราะบางคนก็เยอะซะเหลือเกิน 555+
กำหนดการของเรา คือ ไปค้างที่อุดรฯ 1 คืน แล้วนั่งรถบัสต่อไปวังเวียง และอยู่ที่นั่น 2 คืน แล้วค่อยแวะไปเวียงจันทน์อีก 1 คืน ก่อนจะกลับเข้าอุดรฯเพื่อบินกลับกรุงเทพฯ
“มียาทาริดสีดวงมั้ยคะ”
“มีครับ แนะนำเป็นขี้ผึ้งเอาไว้ทานะครับ”
“มียากินด้วยมั้ยคะ”
“มีครับ เป็นหนักมั้ยครับ”
“มันบวมออกมาน่ะค่ะ”
“บวมข้างในหรือข้างนอกครับ เป็นเองหรือใครเป็นครับ”
“เป็นเองค่ะ บวมข้างนอกค่ะ เวลาเกร็งๆแล้วมันจะเจ็บ”
“ครับ เดี๋ยวผมให้ยาคลายหลอดเลือดไปด้วย”
ไม่รู้ว่าไปพกความมั่นใจแบบนี้มาจากไหนถึงกล้าเดินดุ่มๆไปซื้อยากับเภสัชหนุ่มคนนั้น แถมเลือกที่จะพูดความจริงโดยไม่แสดงอาการเคอะเขินเลยแม้แต่น้อย น่าไม่อายจริงๆเลย!!!! แต่ก็นั่นล่ะ ความจริงมันต้องใช้ความกล้าอย่างมหาศาลเชียวนะ 555+ ก็ใครจะไปคิดล่ะ ว่าอยู่ๆน้องริซซี่ที่ใครๆต่างก็กล่าวขวัญถึงจะมีใจแวะมาหากัน ไม่น่าเชื่อเลยว่าน้องจะกลายเป็นสาวสะพรั่งในชั่วเวลาเพียงข้ามคืน แถมที่สยองกว่านั้น คือ เราต้องไปทริปวังเวียงด้วยกันนี่สิ โอ๊ยย ไม่อยากจะคิดเลย ว่าทางไปวังเวียงจะเป็นยังไง แล้วน้องจะทนได้มั้ย นางจะแตกเนื้อสาวเอากลางทางก่อนรึเปล่า โอ้โห...
จาก บขส. อุดรฯ ในตอนเช้าตรู่ เราขึ้นรถบัสไปสู่ด่านหนองคาย ผ่านด่านลาว มุ่งหน้าสู่วังเวียงด้วยกันพร้อมเงินคนละเกือบๆ 7 แสน ความรู้สึกที่ได้จับเงินเป็นแสนๆ มันฟินอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ #สวยและรวยมาก พูดเลย
ระหว่างทาง...
พวกเราดูสนุกกับการอ่านป้ายภาษาลาวตามทาง เราเห็นป้ายโคคาโคล่า ไอติมวอลล์เป็นภาษาลาว เราสังเกตเห็นว่าที่นี่มีร้านมินิมาร์ทเยอะมาก มันคงเป็นธุรกิจที่ฮิตสุดๆของที่นี่ล่ะมั้ง เราดื่มด่ำกับบรรยากาศสองข้างทางที่เป็นสีเขียวแซมกับสีดินสีฝุ่นที่เป็นสีส้ม เราเห็นรถยนต์แล่นมาและจอดรอให้ฝูงวัวได้ข้ามถนน มันดูอ่อนโยน และชวนให้นึกถึงบ้านเราสมัยก่อน อารมณ์มันคงเหมือนกับต่างจังหวัดเมื่อสัก 30-40 ปีก่อนเลยล่ะมั้ง
น้องริซซี่เองก็ดูจะตื่นเต้นกับการไปเที่ยวลาวของพวกเราครั้งนี้มากจนเก็บอาการไว้ไม่อยู่ เพราะก่อนเดินทางก็ดั๊นนน ลืมกินและก็ทายาไปซะสนิท แล้วมานึกขึ้นได้ตอนไหน? ก็ตอนที่กระเป๋าเสื้อผ้าอยู่ใต้ท้องรถบัสแล้ว โอยยยยย บอกเลยว่าโคตรทรมาน นี่ยังดีที่ทางไปวังเวียงค่อนข้างโอเค เลยพยายามหาท่านั่งที่มันไม่ได้โอบรัดน้องมากเกินไป และก็ไม่ให้น้องไปโดนเบาะแข็งๆเอาเข้าด้วยเหมือนกัน
2 ชั่วโมงแรกบนรถบัสนั้นเหมือนฝัน เพราะทุกคนต่างผล็อยหลับไป แต่ 2 ชั่วโมงหลังจากแวะจอดทานข้าว เส้นทางสู่วังเวียงเริ่มวนเวียนไปตามไหล่เขา ซ้ายจนสุด ขวาจนสุด สลับกันไปมา แต่ที่ซวยยิ่งกว่า คือ ไอ้ที่กินๆไปเมื่อกี๊ มันเริ่มอยากกลับออกมานี่สิ ทำไงดี!!!? จะเอาหัวพิงพนักก็ไม่ได้ ถ้าพิงนี่เบาะข้างหน้าเละเทะแน่นอน แล้วคือต้องนั่งทรงตัวตรงๆไง พอเปลี่ยนท่านั่งปุ๊บ น้องริซซี่เอาเลย งอแงทันที โอยยยยย หัวก็หน่วงๆ ตรงคอก็พะอืดพะอม ข้างล่างก็โวยวาย พีคมาก
ใครก็ได้ ช่วยกูที....
TTOTT
และในที่สุด... ความวังเวียงก็มาปรากฎอยู่เบื้องหน้า
ทุกคนยิ้มออกมา บ่งบอกให้รู้ว่าเราตื่นเต้นกับสิ่งที่เราจะทำที่นี่เมื่อเท้าของเราแตะถึงพื้นดินที่นั่นตอนลงจากรถมินิบัสที่พาเราไปส่งจาก บขส. วังเวียง เข้าไปในตัวเมือง น้องริซซี่เองก็ยังอึ้งไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจนไม่แสดงอาการอะไรออกมา เราก้มลงมองแผนที่ที่เตรียมมาเพื่อหาทางไปยังที่พักของเรา ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย =___= สุดท้ายเราเลยต้องใช้วิธีเบสิกๆสุดๆ นั่นคือถามทางจากคนแถวนั้น บางคนก็ชี้ไปทางซ้าย บางคนก็ชี้ไปทางขวา เอาไงดีวะกู?
เหมือนโชคจะเข้าข้าง เมื่อเราเหลือบไปเห็นป้าย Sakura Bar หนึ่งในสถานที่เป้าหมายที่เราได้ข้อมูลมาว่า ที่นี่จะมีช่วง Happy Hour แจกเหล้าฟรี . . . ทุกคนยิ้ม เหวยๆๆๆ คืนนี้ต้องมาโดน!!!! เอาล่ะ เมื่อได้เบาะแสแล้วว่าเราอยู่ส่วนไหนของวังเวียง การหาที่พักของเราจึงง่ายขึ้น แหะแหะ เราจึงขอแวะหาซื้อซิมเพื่อติดต่อกับโลกอินเตอร์เน็ตที่ร้านมินิมาร์ทแห่งนึง ป้าเจ้าของร้านน่ารักมาก ทันทีที่ถามป้าแล้วป้าบอกว่าที่ร้านแกมีซิมที่เราต้องการ เราก็ทิ้งข้าวของทุกอย่าง นั่งลงที่พื้นร้านราวกับว่านี่คือมินิมาร์ทป้ากูเอง กูจะนั่งตรงไหนก็ได้ 55555+ และป้าแกที่นั่งอยู่หลังโต๊ะก็นั่งมองพวกเรางุ่นง่านอยู่กับวิธีการสมัครซิมลาว ป้าก็อมยิ้มมองดูเราบ่น ดูเราคุยกัน ดูความพยายามจะพูดภาษาลาวของเราไปเรื่อยอย่างกับผู้ใหญ่นั่งมองดูหลานๆ
เราพบว่าการโทรหา Call Center ที่ลาว เราสามารถพูดไทยใส่เจ้าหน้าที่ได้ แต่ตอนเขาบอกให้เรากดเลขนู่นนี่นั่นนี่ต้องขอให้เขาพูดให้ฟังหลายๆรอบ อย่าง “กดดอกจัน” บ้านเขาเรียกว่า “ก๊ดด๋าว” นี่ก็นั่งฟังตั้งนาน ป้าก็ไม่ช่วย นั่งยิ้มอย่างเดียว 555555+ เมื่อภารกิจของเราเสร็จสิ้นก็ถึงเวลาจ่ายเงิน เรางงกันอยู่นานกับการนับเลข 0 บนแบงค์เพื่อจ่ายให้ป้า จนป้าต้องมาหยิบไปเองจากมือเราด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น จะไม่ให้รักป้าได้ยังไงเนี่ย 55555+
หลังจากบอกลาป้า พวกเราก็ตรงเข้าที่พัก จัดการอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และไม่ลืมทาขี้ผึ้งบำรุงผิวน้องริซซี่เสียหน่อย และออกไปหาเช่ามอเตอร์ไซค์ หาอะไรลงท้อง โดยเริ่มต้นที่เป้าหมายของเราคือโรตีหน้าโรงพยาบาลวังเวียง 555555+ รสชาติก็ไม่ผิดหวัง สมคำร่ำลือจริงๆค่ะ จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปหาซื้อทัวร์ One Day Trip ลอดห่วงยาง กับพายเรือพายัค และแวะซื้อไอติมร้านป้ามาเติมพลัง ป้าก็ยังต้อนรับพวกเราด้วยรอยยิ้ม และเราก็ยังนั่งเกะกะที่พื้นร้านป้าเหมือนเดิม 555555+
พอใกล้ค่ำ พวกเราบอกลาป้าไปหาอะไรกินแถวๆริมแม่น้ำซอง เพราะรู้มาว่าที่นั่นจะมีบาร์ริมน้ำที่เปิดเพลงมันส์ เราจอดรถเพื่อเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ และแม้ว่าเราจะสะพรึงไปกับสะพานไม้ผุๆ แถมบางช่วง ไม้ก็หายไปไหนไม่รู้ เห็นแม่น้ำข้างล่างเลย ซ้ำยังมีคนกล้าขับรถมอเตอร์ไซค์ข้ามไปอีก แต่อย่างน้อยเมื่อเราถึงปลายทาง เราก็ได้นั่งฟังเพลงสากลร่วมสมัยๆ มีเบียร์เย็นๆให้จิบคู่กับการจกส้มตำที่ใส่ปลาร้ากลิ่นแปลกๆ คือนัวมาก ดูจากสีและกลิ่น =___= แต่บรรยากาศที่นั่นดีมากๆเลย มากเสียจนทำเอาทุกๆคนต่างคิดถึงคนไกลที่เราจากมา (ส่วนกู-แม่ง-โคตรเหงา!!!!) หลังจากนั่งให้แมลงแปลกๆกัดอยู่ที่นั่นกันประมาณ 2 ชม. สะดุ้งกันไปหลายทีจนชักรำคาญ เราจึงตัดสินใจย้ายที่ไปต่อ Sakura Bar
ทุกคนยิ้มออกมา บ่งบอกให้รู้ว่าเราตื่นเต้นกับสิ่งที่เราจะทำที่นี่เมื่อเท้าของเราแตะถึงพื้นดินที่นั่นตอนลงจากรถมินิบัสที่พาเราไปส่งจาก บขส. วังเวียง เข้าไปในตัวเมือง น้องริซซี่เองก็ยังอึ้งไปกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจนไม่แสดงอาการอะไรออกมา เราก้มลงมองแผนที่ที่เตรียมมาเพื่อหาทางไปยังที่พักของเรา ซึ่งก็ไม่ได้ช่วยอะไรเลย =___= สุดท้ายเราเลยต้องใช้วิธีเบสิกๆสุดๆ นั่นคือถามทางจากคนแถวนั้น บางคนก็ชี้ไปทางซ้าย บางคนก็ชี้ไปทางขวา เอาไงดีวะกู?
เหมือนโชคจะเข้าข้าง เมื่อเราเหลือบไปเห็นป้าย Sakura Bar หนึ่งในสถานที่เป้าหมายที่เราได้ข้อมูลมาว่า ที่นี่จะมีช่วง Happy Hour แจกเหล้าฟรี . . . ทุกคนยิ้ม เหวยๆๆๆ คืนนี้ต้องมาโดน!!!! เอาล่ะ เมื่อได้เบาะแสแล้วว่าเราอยู่ส่วนไหนของวังเวียง การหาที่พักของเราจึงง่ายขึ้น แหะแหะ เราจึงขอแวะหาซื้อซิมเพื่อติดต่อกับโลกอินเตอร์เน็ตที่ร้านมินิมาร์ทแห่งนึง ป้าเจ้าของร้านน่ารักมาก ทันทีที่ถามป้าแล้วป้าบอกว่าที่ร้านแกมีซิมที่เราต้องการ เราก็ทิ้งข้าวของทุกอย่าง นั่งลงที่พื้นร้านราวกับว่านี่คือมินิมาร์ทป้ากูเอง กูจะนั่งตรงไหนก็ได้ 55555+ และป้าแกที่นั่งอยู่หลังโต๊ะก็นั่งมองพวกเรางุ่นง่านอยู่กับวิธีการสมัครซิมลาว ป้าก็อมยิ้มมองดูเราบ่น ดูเราคุยกัน ดูความพยายามจะพูดภาษาลาวของเราไปเรื่อยอย่างกับผู้ใหญ่นั่งมองดูหลานๆ
เราพบว่าการโทรหา Call Center ที่ลาว เราสามารถพูดไทยใส่เจ้าหน้าที่ได้ แต่ตอนเขาบอกให้เรากดเลขนู่นนี่นั่นนี่ต้องขอให้เขาพูดให้ฟังหลายๆรอบ อย่าง “กดดอกจัน” บ้านเขาเรียกว่า “ก๊ดด๋าว” นี่ก็นั่งฟังตั้งนาน ป้าก็ไม่ช่วย นั่งยิ้มอย่างเดียว 555555+ เมื่อภารกิจของเราเสร็จสิ้นก็ถึงเวลาจ่ายเงิน เรางงกันอยู่นานกับการนับเลข 0 บนแบงค์เพื่อจ่ายให้ป้า จนป้าต้องมาหยิบไปเองจากมือเราด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น จะไม่ให้รักป้าได้ยังไงเนี่ย 55555+
หลังจากบอกลาป้า พวกเราก็ตรงเข้าที่พัก จัดการอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้า และไม่ลืมทาขี้ผึ้งบำรุงผิวน้องริซซี่เสียหน่อย และออกไปหาเช่ามอเตอร์ไซค์ หาอะไรลงท้อง โดยเริ่มต้นที่เป้าหมายของเราคือโรตีหน้าโรงพยาบาลวังเวียง 555555+ รสชาติก็ไม่ผิดหวัง สมคำร่ำลือจริงๆค่ะ จากนั้นเราก็มุ่งหน้าไปหาซื้อทัวร์ One Day Trip ลอดห่วงยาง กับพายเรือพายัค และแวะซื้อไอติมร้านป้ามาเติมพลัง ป้าก็ยังต้อนรับพวกเราด้วยรอยยิ้ม และเราก็ยังนั่งเกะกะที่พื้นร้านป้าเหมือนเดิม 555555+
พอใกล้ค่ำ พวกเราบอกลาป้าไปหาอะไรกินแถวๆริมแม่น้ำซอง เพราะรู้มาว่าที่นั่นจะมีบาร์ริมน้ำที่เปิดเพลงมันส์ เราจอดรถเพื่อเดินข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ และแม้ว่าเราจะสะพรึงไปกับสะพานไม้ผุๆ แถมบางช่วง ไม้ก็หายไปไหนไม่รู้ เห็นแม่น้ำข้างล่างเลย ซ้ำยังมีคนกล้าขับรถมอเตอร์ไซค์ข้ามไปอีก แต่อย่างน้อยเมื่อเราถึงปลายทาง เราก็ได้นั่งฟังเพลงสากลร่วมสมัยๆ มีเบียร์เย็นๆให้จิบคู่กับการจกส้มตำที่ใส่ปลาร้ากลิ่นแปลกๆ คือนัวมาก ดูจากสีและกลิ่น =___= แต่บรรยากาศที่นั่นดีมากๆเลย มากเสียจนทำเอาทุกๆคนต่างคิดถึงคนไกลที่เราจากมา (ส่วนกู-แม่ง-โคตรเหงา!!!!) หลังจากนั่งให้แมลงแปลกๆกัดอยู่ที่นั่นกันประมาณ 2 ชม. สะดุ้งกันไปหลายทีจนชักรำคาญ เราจึงตัดสินใจย้ายที่ไปต่อ Sakura Bar
70% ของนักท่องเที่ยวใน Sakura Bar เป็นคนไทย อีก 20% เป็นฝรั่งต่างชาติ และอีก 10% เป็นบรรดาโอปป้า พวกเราไปทัน Happy Hour 15 นาทีสุดท้าย ได้วอดก้าผสมสไปร์ทมาคนละแก้ว และสั่ง เบยลาว มาลองจิบกันดู เพื่อนๆว่า เบยลาว เข้าท่ากว่า ส่วนเราสายเหล้าช็อต Absolut จึงจัด Happy Hour วนไปหลายแก้วมากจนหมดเวลา 555555+ เราอยู่ที่นั่นจนประมาณเกือบๆ 5 ทุ่ม เพราะเบื่อเพลงพี่โอปป้ามาก เลยพากันออกมาพิสูจน์รสชาติโรตีหน้าร้าน ซึ่งก็ผิดหวัง หน้าโรงพยาบาลวังเวียงอร่อยกว่ามาก ทำให้เราต้องไปโซ๊ย ชายสี่หมี่เกี๊ยว ฉบับเวอร์ชั่นภาษาลาว เพื่อบรรเทาความผิดหวังจากโรตี ก่อนจะกลับเข้าที่พักเพื่อเตรียมตัวพักผ่อนเอาแรงให้พร้อมลุยกับกิจกรรม Adventure ในวันพรุ่งนี้ และไม่ลืมกินยา ทายา เอาใจน้องริซซี่นิดนึง แล้วก็นึกขึ้นมาได้....
วันนี้แดกส้มตำปลาร้าไปนี่หว่า!!!!
ซวยละกู!!!!!!
โปรดติดตามอ่านตอนต่อไป . . . .
Comments
Silencewaltz
5 years ago
เขียนถึงน้องริซซี่บรรทัดเว้นบรรทัดเลยยยย 5555555 ลุ้นมากๆๆๆ
Reply
lalajinx
5 years ago
#ตามติดชีวิตริซซี่