
เชื่อผมไหมถ้าผมบอกว่า "ไอเดียเพื่อเอามาเขียนเรื่องราว" ในโลกนี้มีอย่างเยอะจนไม่รู้ว่าตายไปแล้วจะเขียนหมดหรือเปล่า
ไม่ Overclaim ด้วยนะ จากใจเลย
แต่จะหยิบมาเขียนทั้งทีคงต้องใช้เวลาสักนิดนึง คือการหันมองสิ่งรอบตัวเยอะ ๆ มากกว่ากรอบสี่เหลี่ยมที่อยู่ตรงหน้าคุณตอนนี้สักนิดนึง
แต่เอาไว้ทำหลังอ่านบทความของนักเขียนท่านโปรดของคุณเสร็จก่อนนะ ถ้ากด Recommend ด้วย นักเขียนท่านนั้น ๆ คงรู้สึกแฮปปี้มาก
แค่ระยะเวลาสั้น ๆ ตอนที่ขึ้นเรือด่วนเจ้าพระยากลับบ้าน ผมก็ได้ไอเดียที่จะเอาเรื่องใหม่ ๆ มาเล่าให้ทุกคนฟังแล้วด้วยซ้ำ
แล้วต้องอ้างอิงผู้กล้าคนหนึ่งที่อาจหาญ Inbox เข้ามาถามผมว่า เขาไม่มีไอเดียจะเขียนแต่ชอบงานเขียนของผม มันเลยออกมาเป็นงานเขียนชิ้นนี้ออกมา ขอทุกคนสรรเสริญบุรุษท่านนั้นด้วยวิธีการของตัวท่านเองเป็นจำนวน 3 ครั้งถ้วน
ปฏิบัติ!
โอเค เราจะนับว่าคุณ ๆ ที่อ่านถึงบรรทัดนี้ทำตามที่ผมร้องขอเสร็จแล้ว ขอบคุณมากครับ เรากลับมาเรื่องของเราต่อหลังจากเวิ่นเว้อไป 3 บรรทัดถ้วน เป็นบรรทัดว่าง*2 และคำว่า ปฏิบัติ*1 บรรทัดถ้วน
*อะแฮ่ม*
ไอเดียที่ผมหยิบมาเขียนได้เรื่อย ๆ ในช่วงนี้ก็ยังต้องขอบคุณพี่ลิง imonkey7 อีกนั่นแหละที่บอกว่าเขียน ๆ มาเหอะ แล้ววิธีล่าไอเดียใหม่ ๆ มันก็ไม่ได้ยากอะไรเลยนะ
แค่ผมกด Lock Screen แล้วไปหาอะไรทำ หาอะไรบ้า ๆ ที่ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ทำกันเพื่อหาไอเดียใหม่ ๆ มาเล่าต่อกัน
ไอเดียแรกคงต้องย้อนกลับไปสมัยเรียนมัธยมปลายที่ย่านพระนครโน่นเลย เรื่องมันยาวเว่อร์เบอร์นั้นจริง ๆ
ทุกอย่างเริ่มต้นเพราะเพื่อนเราคนหนึ่งบอกว่ามันกำลังเขียนนิยายเพราะตอนนั้นกระแสนิยาย Last Fantasy ยุคสำนักพิมพ์เก่ากำลังมาแรงมากจนคนพากันเฮละโรไปเขียนนิยายนั่นแหละครับ เป็นจุดเริ่มต้นของพวกเราเลย แต่เพื่อนผมกลับชอบบารามอส ส่วนผมกำลังบ้า Type-Moon และ Tsukihime หนักมาก
เทียบกับยุคนี้ก็เหมือนคนแห่กันไปทำแชนแนล Youtube กันไม่หวาดไม่ไหว แน่นอนผมด้วยคนที่เข้าไปร่วมวงกับเขาด้วยแหละ สนุกดีนะ
ผมก็นึกว่าถ้าจริง ๆ แล้วเรื่องจะเอามาเขียนนิยาย มันต้องหาข้อมูลหน่อย ข้อมูลก็ต้องเกิดจากการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ และประสบการณ์ใหม่ ๆ พวกนั้นมาจากการที่เราเข้าไปทำอะไรแปลก ๆ นั่นแหละ
เอาวะ! เราอยากหาประสบการณ์มัน ๆ มาเขียนนี่หว่า งั้นเริ่มจากอะไรง่าย ๆ จากสิ่งใกล้ตัวสุด ๆ ก่อนละกันกับคอนเซปท์เริ่มต้นว่า
ผมเริ่มต้นที่ร้านน้ำปั่นหน้าโรงเรียนก่อนเลย ร้านรถเข็นเล็ก ๆ ที่มีเครื่องปั่นพร้อมกับน้ำสมุนไพรและน้ำหวานที่ครบเครื่องให้เด็กนักเรียนแถวนั้นมาอุดหนุนในวันร้อน ๆ กัน
"พี่ครับ เอาโค้กปั่นใส่น้ำมะพร้าวพร้อมเนื้อมันด้วยนะพี่ เอาแก้วนึงครับ" นาทีนั้นนี่เรียกว่าสุดมาก เพื่อนผมที่สั่งชาเย็นกับน้ำมะนาวกับแม่ค้าหันมามองหน้าผมพร้อม ๆ กันเป็นตาเดียวเลย
"เอาจริงเหรอน้อง?" ผมพยักหน้า กำตั๋วเขียวในมือยื่นขึ้นมาเป็นเชิงให้คนทำรู้ว่า 'ไอ้บ้าคนนี้มันเอาจริง' พี่คนขายก็หันไปเสิร์ฟของง่ายก่อนแล้วหันมาปั่นของสุดแนวนี่ให้เราดื่ม
ไม่นานก็ได้กินครับ สมใจเลยและรสชาติไม่ต้องถามหานะครับไปลองกันเอง
ซึ่งนี่ถ้าเทียบ คือยาเม็ดที่มอร์เฟียสยื่นให้นีโอ ผมเป็นน้ำโค้กปั่นมะพร้าวแก้วนี้ที่ดึงผมเข้ามาฝั่งนี้ที่มีอะไร ๆ ไม่เหมือนเดิม
ต้องขอบคุณมันที่ทำให้ผมรู้สึกว่าต้องลองอะไรใหม่ ๆ หน่อยละ สนุกเป็นบ้า!
ฝรั่งเขาก็เลยบัญญัติเป็น YOLO ที่เรา ๆ ท่าน ๆ พูดกันนี่แหละครับ แต่แหม~ เอาเป็นว่าจะเรียกอะไรก็เอาเถอะ เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันนะ?
จากนั้นเมนูต่อมาก็เป็นร้านเครปในโรงอาหารของโรงเรียน ทุกอย่างเป็นเหมือนเดจาวูกับร้านน้ำเลย แค่เปลี่ยนเป็นของคาวเท่านั้นเอง
"ป้าครับ เอาเครปใส่ไข่ไก่ หมูสับ ปาดด้วยครีมวานิลลา ราดแม็กกี้และพริกไทย เอาพริกไทยหอม ๆ นะครับ"
อ้อ! เปลี่ยนจากเพื่อนเป็นรุ่นน้องด้วยนะที่ทำหน้าเหวอแตกใส่ผมในเหตุการณ์วันนั้น และรสชาตินี่ไปลองกันเองได้ครับ
กิน.ได้.แน่.นอน.
และบางวันผมก็ปรับสูตรนิดหน่อย จากหมูสับเป็นไส้กรอกรวมบ้าง ปูอัดบ้าง ส่วนครีมวานิลลาก็เวียนเป็นสตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ช็อคโกแลต เอาเป็นว่าปาดรสหวานขนมเข้าไปรสนึงนั่นแหละ
และเราทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ และวีรกรรมของเราก็เริ่มเพี้ยนขึ้นเรื่อย ๆ แต่เราสนุกกับการทำอะไรที่ YOLO มาก ๆ
ใช่ ห้ามเค้นมันออกมานะ เพราะมันไม่สวยหรอก ส่วนของผมนี่ที่พยายามเขียนทุกวันมันมีเหตุผลอยู่ ไว้เก็บวัตถุดิบจากงานเขียนนี้ก่อนนะครับแล้วจะมาเล่าให้ฟังในช่วงหลังจากนี้
สุดท้ายผมก็แค่ปล่อยให้เรื่องต่าง ๆ มันค่อย ๆ สานกันอยู่ในหัว รอมันเสร็จแล้วเราก็เสิร์ฟให้ทุกคนที่กดติดตามนี่แหละครับ
คุณก็ลองเสิร์ฟเมนูแรกของคุณดูสิครับ
ไม่ Overclaim ด้วยนะ จากใจเลย
แต่จะหยิบมาเขียนทั้งทีคงต้องใช้เวลาสักนิดนึง คือการหันมองสิ่งรอบตัวเยอะ ๆ มากกว่ากรอบสี่เหลี่ยมที่อยู่ตรงหน้าคุณตอนนี้สักนิดนึง
แต่เอาไว้ทำหลังอ่านบทความของนักเขียนท่านโปรดของคุณเสร็จก่อนนะ ถ้ากด Recommend ด้วย นักเขียนท่านนั้น ๆ คงรู้สึกแฮปปี้มาก
แค่ระยะเวลาสั้น ๆ ตอนที่ขึ้นเรือด่วนเจ้าพระยากลับบ้าน ผมก็ได้ไอเดียที่จะเอาเรื่องใหม่ ๆ มาเล่าให้ทุกคนฟังแล้วด้วยซ้ำ
แล้วต้องอ้างอิงผู้กล้าคนหนึ่งที่อาจหาญ Inbox เข้ามาถามผมว่า เขาไม่มีไอเดียจะเขียนแต่ชอบงานเขียนของผม มันเลยออกมาเป็นงานเขียนชิ้นนี้ออกมา ขอทุกคนสรรเสริญบุรุษท่านนั้นด้วยวิธีการของตัวท่านเองเป็นจำนวน 3 ครั้งถ้วน
ปฏิบัติ!
โอเค เราจะนับว่าคุณ ๆ ที่อ่านถึงบรรทัดนี้ทำตามที่ผมร้องขอเสร็จแล้ว ขอบคุณมากครับ เรากลับมาเรื่องของเราต่อหลังจากเวิ่นเว้อไป 3 บรรทัดถ้วน เป็นบรรทัดว่าง*2 และคำว่า ปฏิบัติ*1 บรรทัดถ้วน
*อะแฮ่ม*
ไอเดียที่ผมหยิบมาเขียนได้เรื่อย ๆ ในช่วงนี้ก็ยังต้องขอบคุณพี่ลิง imonkey7 อีกนั่นแหละที่บอกว่าเขียน ๆ มาเหอะ แล้ววิธีล่าไอเดียใหม่ ๆ มันก็ไม่ได้ยากอะไรเลยนะ
แค่ผมกด Lock Screen แล้วไปหาอะไรทำ หาอะไรบ้า ๆ ที่ชาวบ้านชาวช่องเขาไม่ทำกันเพื่อหาไอเดียใหม่ ๆ มาเล่าต่อกัน
ไอเดียแรกคงต้องย้อนกลับไปสมัยเรียนมัธยมปลายที่ย่านพระนครโน่นเลย เรื่องมันยาวเว่อร์เบอร์นั้นจริง ๆ
ทุกอย่างเริ่มต้นเพราะเพื่อนเราคนหนึ่งบอกว่ามันกำลังเขียนนิยายเพราะตอนนั้นกระแสนิยาย Last Fantasy ยุคสำนักพิมพ์เก่ากำลังมาแรงมากจนคนพากันเฮละโรไปเขียนนิยายนั่นแหละครับ เป็นจุดเริ่มต้นของพวกเราเลย แต่เพื่อนผมกลับชอบบารามอส ส่วนผมกำลังบ้า Type-Moon และ Tsukihime หนักมาก
เทียบกับยุคนี้ก็เหมือนคนแห่กันไปทำแชนแนล Youtube กันไม่หวาดไม่ไหว แน่นอนผมด้วยคนที่เข้าไปร่วมวงกับเขาด้วยแหละ สนุกดีนะ
ผมก็นึกว่าถ้าจริง ๆ แล้วเรื่องจะเอามาเขียนนิยาย มันต้องหาข้อมูลหน่อย ข้อมูลก็ต้องเกิดจากการสร้างประสบการณ์ใหม่ ๆ และประสบการณ์ใหม่ ๆ พวกนั้นมาจากการที่เราเข้าไปทำอะไรแปลก ๆ นั่นแหละ
เอาวะ! เราอยากหาประสบการณ์มัน ๆ มาเขียนนี่หว่า งั้นเริ่มจากอะไรง่าย ๆ จากสิ่งใกล้ตัวสุด ๆ ก่อนละกันกับคอนเซปท์เริ่มต้นว่า
ฉันจะทำอะไรที่แนวโคตร ๆ ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา
ผมเริ่มต้นที่ร้านน้ำปั่นหน้าโรงเรียนก่อนเลย ร้านรถเข็นเล็ก ๆ ที่มีเครื่องปั่นพร้อมกับน้ำสมุนไพรและน้ำหวานที่ครบเครื่องให้เด็กนักเรียนแถวนั้นมาอุดหนุนในวันร้อน ๆ กัน
"พี่ครับ เอาโค้กปั่นใส่น้ำมะพร้าวพร้อมเนื้อมันด้วยนะพี่ เอาแก้วนึงครับ" นาทีนั้นนี่เรียกว่าสุดมาก เพื่อนผมที่สั่งชาเย็นกับน้ำมะนาวกับแม่ค้าหันมามองหน้าผมพร้อม ๆ กันเป็นตาเดียวเลย
"เอาจริงเหรอน้อง?" ผมพยักหน้า กำตั๋วเขียวในมือยื่นขึ้นมาเป็นเชิงให้คนทำรู้ว่า 'ไอ้บ้าคนนี้มันเอาจริง' พี่คนขายก็หันไปเสิร์ฟของง่ายก่อนแล้วหันมาปั่นของสุดแนวนี่ให้เราดื่ม
ไม่นานก็ได้กินครับ สมใจเลยและรสชาติไม่ต้องถามหานะครับไปลองกันเอง
ซึ่งนี่ถ้าเทียบ คือยาเม็ดที่มอร์เฟียสยื่นให้นีโอ ผมเป็นน้ำโค้กปั่นมะพร้าวแก้วนี้ที่ดึงผมเข้ามาฝั่งนี้ที่มีอะไร ๆ ไม่เหมือนเดิม
ต้องขอบคุณมันที่ทำให้ผมรู้สึกว่าต้องลองอะไรใหม่ ๆ หน่อยละ สนุกเป็นบ้า!
ฝรั่งเขาก็เลยบัญญัติเป็น YOLO ที่เรา ๆ ท่าน ๆ พูดกันนี่แหละครับ แต่แหม~ เอาเป็นว่าจะเรียกอะไรก็เอาเถอะ เอาเป็นว่าเข้าใจตรงกันนะ?
จากนั้นเมนูต่อมาก็เป็นร้านเครปในโรงอาหารของโรงเรียน ทุกอย่างเป็นเหมือนเดจาวูกับร้านน้ำเลย แค่เปลี่ยนเป็นของคาวเท่านั้นเอง
"ป้าครับ เอาเครปใส่ไข่ไก่ หมูสับ ปาดด้วยครีมวานิลลา ราดแม็กกี้และพริกไทย เอาพริกไทยหอม ๆ นะครับ"
อ้อ! เปลี่ยนจากเพื่อนเป็นรุ่นน้องด้วยนะที่ทำหน้าเหวอแตกใส่ผมในเหตุการณ์วันนั้น และรสชาตินี่ไปลองกันเองได้ครับ
กิน.ได้.แน่.นอน.
และบางวันผมก็ปรับสูตรนิดหน่อย จากหมูสับเป็นไส้กรอกรวมบ้าง ปูอัดบ้าง ส่วนครีมวานิลลาก็เวียนเป็นสตรอเบอรี่ บลูเบอรี่ ช็อคโกแลต เอาเป็นว่าปาดรสหวานขนมเข้าไปรสนึงนั่นแหละ
และเราทำต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ และวีรกรรมของเราก็เริ่มเพี้ยนขึ้นเรื่อย ๆ แต่เราสนุกกับการทำอะไรที่ YOLO มาก ๆ
เราเก็บประสบการณ์ที่แปลกไว้เยอะ ๆ จนเป็นวัตถุดิบปรุงอาหารสักจานมาเสิร์ฟบนโต๊ะให้ลูกค้าได้กิน ก็เหมือนนักเขียนที่เสิร์ฟเมนูเรื่องเล่าใหม่ ๆ มาให้อ่านนั่นแหละครับ
ใช่ ห้ามเค้นมันออกมานะ เพราะมันไม่สวยหรอก ส่วนของผมนี่ที่พยายามเขียนทุกวันมันมีเหตุผลอยู่ ไว้เก็บวัตถุดิบจากงานเขียนนี้ก่อนนะครับแล้วจะมาเล่าให้ฟังในช่วงหลังจากนี้
สุดท้ายผมก็แค่ปล่อยให้เรื่องต่าง ๆ มันค่อย ๆ สานกันอยู่ในหัว รอมันเสร็จแล้วเราก็เสิร์ฟให้ทุกคนที่กดติดตามนี่แหละครับ
คุณก็ลองเสิร์ฟเมนูแรกของคุณดูสิครับ