
...
เราทำประกันชีวิตเพื่ออะไร ?
เพื่อช่วยตัวแทน/พนักงานแบงค์
เพื่อลดหย่อนภาษี เพื่อออมเงิน
เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้ครอบครัว
ประโยชน์ของประกันชีวิตอาจมีหลายอย่าง
แต่ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของมันคือ
"การเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง"
ความเสี่ยงที่จะจากไปก่อนวัยอันควร
และทิ้งภาระมากมายไว้ให้คนข้างหลัง
ทั้งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของครอบครัว
ค่าเทอมบุตร หนี้สินบ้าน หนี้สินรถยนต์ หรือ
หนี้สินจากค่ารักษาพยาบาลในช่วงสุดท้ายของชีวิต
หากเราเป็นเสาหลักของครอบครัว
เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ในบ้าน
ประกันชีวิตจะมีความจำเป็นสำหรับเรา
มากกว่าคนที่ไม่มีภาระต้องดูแลครอบครัว
เช่น สามีที่ทำงานหาเลี้ยงภรรยาและลูกๆ
ย่อมมีความจำเป็นในการทำประกันชีวิต
มากกว่าภรรยาที่เป็นแม่บ้านและไม่มีรายได้
…
ประกันชีวิต คือ เครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง
ที่เราเพียงแค่ส่งเงินก้อนเล็กๆเป็นประจำ
เพื่อสร้างกองมรดกก้อนใหญ่ให้แก่ครอบครัว
ไว้สำหรับรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิต
ยกตัวอย่างเช่น
ประกันชีวิตแบบ “ยูนิต ลิงค์ ชำระเบี้ยประกันภัยรายงวด”
ของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งในประเทศไทย
ที่ให้ความคุ้มครองชีวิตสูงสุดถึง 120 เท่าของเบี้ยประกันภัยรายปี
ซึ่งหมายความว่า
เราสามารถสร้างกองมรดกมูลค่า 1,440,000 บาท
โดยการส่งเงินก้อนเล็กๆเพียง 1,000 บาท/เดือน
แต่ถ้าเก็บเงิน 1,000 บาท/เดือน หรือ 12,000 บาท/ปี
เพื่อเป็นมรดกให้ลูกหลานจำนวน 1,440,000 บาท
จะต้องใช้ระยะเวลายาวนานถึง 120 ปี
…
“ประกันชีวิต คิดไป คล้ายถือร่ม
ป้องกันลม และน้ำได้ ใต้สายฝน
แต่เมื่อยาม ฟ้าใส ไม่มืดมน
ดูเหมือนตน มีภาระ เกะกะจริง
ครั้นเมื่อยาม น้ำฝน หล่นจากฟ้า
จึงรู้ว่า ร่มจำเป็น เห็นค่ายิ่ง
จงประกัน ชีวิตไว้ อย่าประวิง
เพราะทุกสิ่ง เกิดขึ้นได้ ไม่แน่นอน”
บทกลอนนี้ ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนแต่งขึ้นมา
แต่ผมคิดว่ามันเปรียบเปรยถึงประกันชีวิตได้ดีเลยทีเดียว
การทำประกันชีวิตเป็นเรื่องที่ดีครับ
เพราะเป็นการสร้างหลักประกันให้แก่ครอบครัว
แต่การทำประกันชีวิตที่มากเกินความจำเป็น
กลับสร้างความลำบาก และเพิ่มภาระทางการเงิน
ให้แก่ครอบครัวเช่นกันครับ
...
#Deer_Natthongchai
เราทำประกันชีวิตเพื่ออะไร ?
เพื่อช่วยตัวแทน/พนักงานแบงค์
เพื่อลดหย่อนภาษี เพื่อออมเงิน
เพื่อสร้างความมั่นคงทางการเงินให้ครอบครัว
ประโยชน์ของประกันชีวิตอาจมีหลายอย่าง
แต่ประโยชน์ที่สำคัญที่สุดของมันคือ
"การเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง"
ความเสี่ยงที่จะจากไปก่อนวัยอันควร
และทิ้งภาระมากมายไว้ให้คนข้างหลัง
ทั้งค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันของครอบครัว
ค่าเทอมบุตร หนี้สินบ้าน หนี้สินรถยนต์ หรือ
หนี้สินจากค่ารักษาพยาบาลในช่วงสุดท้ายของชีวิต
หากเราเป็นเสาหลักของครอบครัว
เป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ในบ้าน
ประกันชีวิตจะมีความจำเป็นสำหรับเรา
มากกว่าคนที่ไม่มีภาระต้องดูแลครอบครัว
เช่น สามีที่ทำงานหาเลี้ยงภรรยาและลูกๆ
ย่อมมีความจำเป็นในการทำประกันชีวิต
มากกว่าภรรยาที่เป็นแม่บ้านและไม่มีรายได้
…
ประกันชีวิต คือ เครื่องมือในการบริหารความเสี่ยง
ที่เราเพียงแค่ส่งเงินก้อนเล็กๆเป็นประจำ
เพื่อสร้างกองมรดกก้อนใหญ่ให้แก่ครอบครัว
ไว้สำหรับรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นกับชีวิต
ยกตัวอย่างเช่น
ประกันชีวิตแบบ “ยูนิต ลิงค์ ชำระเบี้ยประกันภัยรายงวด”
ของบริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งในประเทศไทย
ที่ให้ความคุ้มครองชีวิตสูงสุดถึง 120 เท่าของเบี้ยประกันภัยรายปี
ซึ่งหมายความว่า
เราสามารถสร้างกองมรดกมูลค่า 1,440,000 บาท
โดยการส่งเงินก้อนเล็กๆเพียง 1,000 บาท/เดือน
แต่ถ้าเก็บเงิน 1,000 บาท/เดือน หรือ 12,000 บาท/ปี
เพื่อเป็นมรดกให้ลูกหลานจำนวน 1,440,000 บาท
จะต้องใช้ระยะเวลายาวนานถึง 120 ปี
…
“ประกันชีวิต คิดไป คล้ายถือร่ม
ป้องกันลม และน้ำได้ ใต้สายฝน
แต่เมื่อยาม ฟ้าใส ไม่มืดมน
ดูเหมือนตน มีภาระ เกะกะจริง
ครั้นเมื่อยาม น้ำฝน หล่นจากฟ้า
จึงรู้ว่า ร่มจำเป็น เห็นค่ายิ่ง
จงประกัน ชีวิตไว้ อย่าประวิง
เพราะทุกสิ่ง เกิดขึ้นได้ ไม่แน่นอน”
บทกลอนนี้ ผมไม่ทราบว่าใครเป็นคนแต่งขึ้นมา
แต่ผมคิดว่ามันเปรียบเปรยถึงประกันชีวิตได้ดีเลยทีเดียว
การทำประกันชีวิตเป็นเรื่องที่ดีครับ
เพราะเป็นการสร้างหลักประกันให้แก่ครอบครัว
แต่การทำประกันชีวิตที่มากเกินความจำเป็น
กลับสร้างความลำบาก และเพิ่มภาระทางการเงิน
ให้แก่ครอบครัวเช่นกันครับ
...
#Deer_Natthongchai