
ฉันเลิกขอพรให้ตัวเองมานานแล้ว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะครั้งนึงในช่วงเวลาของชีวิตฉันเคยเจอกับสถานการณ์ที่ย่ำแย่เอามากๆ แม้ว่ามันจะไม่ใช่เรื่องที่ส่งผลกระทบกับร่างกายหรือชีวิต แต่ก็มีผลกับอนาคตและจิตใจของฉันมากในตอนนั้น ปัญหาต่างๆที่เข้ามารุมเร้า สลับเปลี่ยนและแวะเวียนเข้ามาเป็นเวลาหลายปีดีดัก เรียกได้ว่ามันคือสิ่งที่คอยตัดกำลังของฉัน และบั่นทอนกำลังใจจนไม่สามารถหาทางออกให้กับปัญหาตัวเองได้ หรือในบางปัญหาก็ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้เลย นอกจากจะต้องยอมรับกับความผิดหวังนั้นๆไปซะ
ฉันร้องขอต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเฝ้ารอคอยปาฏิหาริย์ให้มันเกิดขึ้นกับชีวิตฉัน
เปลี่ยนสิ !!
อะไรก็ได้ . . ทำให้มันเปลี่ยนที !!
ขอร้องล่ะ . .
ได้โปรด . . .
ในตอนนั้นเอง ฉันพบว่ามันไม่เคยมีพรใดที่ฉันเฝ้าขอเกิดขึ้นกับฉันจริงๆเลยสักที ไม่รู้สิ มันเหมือนว่าฉันไม่คู่ควรที่จะได้รับโอกาสนั้น ฉันเสื่อมศรัทธากับอำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทุกแขนงในสากลโลก ฉันผิดหวังและบอบช้ำ ฉันจึงหยุดและเลิกขอพรให้กับตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา
ปาฏิหาริย์อาจมีอยู่จริง แต่มันไม่มีทางเกิดขึ้นกับฉัน
แล้วไงต่อล่ะ?
ฉันเชื่อว่าทุกคนก็คงจะเดากันออก ว่าวิธีการจัดการกับปัญหาแบบไหนที่ฉันควรต้องทำ
“ลงมือทำดีกว่ารอคอยวาสนา”
"ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน"
อะไรทำนองนั้น . . . และฉันคงไม่ต้องสาธยายมันให้ทุกคนอ่านกัน
แต่ประเด็นคือไม่นานหลังจากนั้น ฉันได้มีโอกาสเข้าถึงแนวคิดอันเรียบง่ายของพระพุทธเจ้า คงเป็นเพราะผลพวงจากการไล่ดูอนิเมชั่นหรือการ์ตูนพุทธประวัติในช่วงนั้น (จริงๆฉันชอบอ่านมันตั้งแต่เด็กๆนะ แต่ด้วยวัยที่ยังเด็กจึงยังไม่ประสีประสาเท่าไหร่ รู้แค่สนุก)
1. ฉันพบว่าสิ่งที่เกิดในโลกใบนี้ล้วนมีเหตุมีผล ทุกอย่างที่เรากระทำจะกระทบและก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆที่ตามมาเป็นโดมิโน่
2. ฉันเข้าถึงความหมายของการครองสติ (แค่ความหมายนะ ทำยากเหลือเกิน)
3. ฉันเข้าถึงหัวใจหลักของการแก้ปัญหาจากความจริงที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ
4. ฉันเข้าถึงความหมายของการไม่ยึดติด
5. ฉันเข้าถึงความหมายของการให้ และความปรารถนาดี
และข้อสุดท้ายนี้แหละที่ทำให้ฉันมีความคิดแปลกๆ เวลามีโอกาสได้เข้าวัดเข้าวา หรือขอพรเทพเจ้า ฉันมักจะเข้าไปทำความเคารพเพื่อทำความเคารพจริงๆ โดยไม่ได้หวังให้พระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ตอบแทนอะไรใดๆทั้งสิ้น ยิ่งเวลาทำบุญนะฉันก็มักจะมีความคิดที่ว่า ขอให้สิ่งที่ฉันทำเกิดประโยชน์กับคนที่ได้รับจริงๆ
อา . . . ฉันน่าจะไปบวชชีมากกว่านะ
=_____=
มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่ขออะไรให้ตัวเองเลย !!!!
ใช่ มันเป็นไปไม่ได้ แต่คุณรู้มั้ยว่าฉันขอมันกับใคร?
ฉันไม่ได้ขอพระขอเจ้า ฉันขอกับตัวเองต่างหาก 5555+
ฉันขอตัวเองบ่อยมาก
- ฉันขอสติ เพราะฉันเชื่อว่าต่อให้มีปัญหาหรือเหตุการณ์ร้ายๆเข้ามา ฉันจะยังสามารถคุ้มครองตัวเองได้ ไม่ต้องพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
- ฉันขอสมาธิ เพราะฉันต้องการรวบรวมความคิดหาวิธีมาแก้ปัญหาของฉัน และทำให้ฉันมีจิตใจแน่วแน่และจดจ่อกับสิ่งที่ฉันต้องการทำ
- ฉันขอความกล้าหาญ เพื่อให้ฉันอดทน ไม่วู่วามหรือท้อแท้ไปเสียก่อนจนกว่าจะจบมัน
มันคงมีแต่ตัวฉันเองเท่านั้นที่จะตอบสนองความต้องการของฉันได้
ถึงไม่มีใครในโลกยอมฟังเสียงวิงวอนจากฉัน
แต่ตัวฉันเองนี่แหละที่ได้ยินมันเสมอมา
ที่เขียนๆมานี่ ไม่ใช่อะไรหรอก เพราะวันนี้เป็นวันเกิดของฉัน
พอคิดเรื่องขอพรในวันเกิด ฉันก็อยากเล่าเรื่องนี้ให้ใครก็ตามที่เข้ามาอ่าน
มันก็ไม่ได้ช่วยอะไรทุกคนมากนักหรอก ก็ดูจะเป็นแค่อาการของคน “อยากเล่า”
แต่ในวันพิเศษแบบนี้ ฉันก็อดไม่ได้ที่อยากจะแบ่งปันเรื่องราวดีดี ที่แม้มันจะไม่ได้ทำให้ชีวิตฉันดีขึ้นมากนัก แต่มันก็ทำให้ฉันมองโลกใบนี้ในวันแย่ๆได้อย่างสดใส และเข้าใจความเป็นไปของมันมากขึ้น ฉันเชื่อว่ายิ่งเราเข้าใจมันมากเท่าไหร่ เราก็จะยอมรับ และทุกข์กับมันน้อยลง
หรือถ้าคุณเข้าใจมันได้มาก จนเห็นช่องทางที่จะแก้ไขปัญหา
มันก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่เหรอคะ ^-^
ฉันอยากให้ทุกคนผ่านปัญหาไปให้ได้ อย่างน้อยก็ในวันเกิดของฉันก็ยังดี
พรใดที่เป็นของข้า ขอจงผ่านไปสู่มารดาของข้า . . .
และนี่ ก็คือสิ่งที่ฉันขอกับตัวฉันเองในวันเกิดของฉันทุกๆปีตั้งแต่นั้น
และแม่ก็ไม่เคยรู้เรื่องนี้ 55555+
ขอบคุณอาร์เวนจาก The Lord Of The Rings ผู้เป็นเจ้าของ Quote
“พรใดที่เป็นของข้า ขอจงผ่านไปสู่เขา ช่วยให้เขารอด ช่วยเขา..”
ขอบคุณเบญจเพสมาราธอน 6 ปีที่ทำให้ฉันแข็งแกร่ง จนฉันคิดว่าปัญหาที่เจอในตอนนี้มันเทียบกันไม่ได้เลย (รับน้องตั้งแต่ 20 -*-)
ขอบคุณปัญหาที่สอนให้ฉันแข็งแกร่ง จนตอนนี้ฉันเรียกตัวเองได้เต็มปากว่า “I’m tough นะ”
ขอบคุณตัวเองที่ไม่ทอดทิ้งตัวเอง และฉันก็หวังว่าเราจะมีกันไป จนกลายเป็นป้าแก่ๆวัย 80
Happy Me Day !
Image Cr. Tumblr.Com - VickiiTM