
พอดีช่วงนี้ผมมีโอกาสได้อยู่กับความคิดของตัวเองเยอะนิดนึง เนื่องจากลูกสาวป่วยมานอน รพ. เลยทำงานไม่ไหวจริง ๆ เพราะทำปุ๊ป นั่งปั๊ปก็จิตแตกซ่าน เลยไม่ค่อยได้งานแปลกับงานบรรณาธิการซักเท่าไร ได้แต่ทำงานการตลาดที่ไม่ต้องอาศัยสมาธิระยะยาวไปแกน ๆ เพื่อไม่ให้ตัวเองรู้สึกว่าไร้ค่าจนเกินไป (ผมพูดว่าแกน ๆ แต่จริง ๆ ผมตั้งใจนะ ..ฮา)
พอได้มานั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองแล้ว เลยรู้สึกว่าเรากำลังเข้าใกล้วันงานหนังสือ (ชื่อเต็ม งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 20) มาก ๆ แล้วนะเนี่ย ผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านที่บอกว่าชอบเขียนก็น่าจะเป็นคนที่ชอบอ่านด้วย และ
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น..
จำได้ว่าตอนแฮรี่ พอตเตอร์ออกใหม่ ๆ แทบจะทุกงานหนังสือผมจะเฝ้าตามข่าว แล้วก็รอว่าเล่มใหม่จะมาหรือยัง
โตมาก็มีหนังสือชุดอื่น ๆ ที่เติบโต แตกแขนงไปตามความสนใจที่เปลี่ยนไปตามวัย
ก็ตามอ่านกันเรื่อย แล้วก็ลุ้นให้เล่มใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง..
จนเมื่อปลาย ๆ ปีที่แล้ว อยู่ ๆ หนังสือชุดหนึ่งที่ผมตามอยู่ก็ถูกประกาศออกมาว่าขอยุติการพิมพ์เล่มต่อ เนื่องจากว่ายอดขายไม่ดี..
ในฐานะคนอ่านก็เคว้งซิครับ หนังสือชุดนี้ต้นฉบับมียี่สิบเล่ม แปลไทยมาได้ประมานสิบเอ็ดหรือสิบสองเล่มนี่แหละ.. แล้วก็โดนลอยแพเพราะยอดขาย
จุดนี้แหละที่ผมอยากจะพูดถึง
เพราะมันเป็นปัญหางูกินหางที่ทั้งนักอ่าน และสำนักพิมพ์แก้ปัญหากันไม่ตกมานานแสนนานแล้ว (การแก้ตกก็คือขายดีเท่านั้นครับ แตมันมีหนังสือชุดขายดีในเมืองไทยไม่มากน่ะซิ..)
ลองคิดตามแบบนี้นะครับ
ในฐานะผู้อ่าน หลาย ๆ ครั้งเราลังเลที่จะซื้อหนังสือที่มันมีหลาย ๆ เล่ม เพราะเรากลัวว่ามันจะออกไม่จบ (จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม) เราจึงยื้อที่จะลงมือควักกระเป๋า บางทีเราก็คิดว่า เอางี้รอมันออกมาสองเล่มก่อน สามเล่มก่อน ครบชุดก่อน ฯลฯ แล้วค่อยซื้อละกัน.. ซึ่งผลของมันก็ส่งต่อมาสู่ สนพ. ดังนี้
ในฐานะสำนักพิมพ์ เอาเข้าจริง ๆ เราไม่รู้หรอกว่าที่เล่มหนึ่งเราขายไม่ออกนั้น เพราะหนังสือมันไม่ดี? เราแปลไม่ดี? ปกไม่สวย? คนในโลกออนไลน์ด่า? ฯลฯ เราไม่กล้าฟันธงในทันทีหรอกครับ และเราก็ไม่กล้าเดาด้วยว่าลูกค้าที่เขาไม่ซื้อเล่มหนึ่ง เพราะเขารอเล่มต่อ ๆ มาออกเสียก่อน.. เรารู้แค่ว่า
เฮ้ย เล่มหนึ่งขายไม่ดีเลยว่ะ..
เอาไงต่อดีเนี่ย?
เปิดสัญญา ๆ (ที่ทำกับเจ้าของลิขสิทธิ์) ดูดิ
เราต้องทำต่อมั้ย..
โอเคไม่ต้องทำต่อใช่มั้ย..
เอาไงดี..
งั้นหยุดพิมพ์เถอะ..
ผลคือเราต้องทำร้ายนักอ่านที่รักของเราที่ซื้อเล่มหนึ่งไปแล้วจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็แย่หมดแหละ แล้วก็ทำร้ายชื่อเสียงของสำนักพิมพ์เราด้วยการทิ้งงานเล่มต่อ มันก็วนกลับไปเป็น "ชื่อเสีย" ให้นักอ่านพูดถึงเราในอนาคตว่า..
นักอ่าน ไม่กล้ารับความเสี่ยงว่าหนังสือชุดจะออกครบทุกเล่มหรือไม่
และ สำนักพิมพ์ ก็ไม่กล้ารับความเสี่ยงที่จะพิมพ์หนังสือชุดเพราะไม่รู้ว่าจะขายดีแค่ไหนกัน
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่สำนักพิมพ์กล้า ๆ กลัว ๆ จะซื้ออะไรยาว ๆ หลาย ๆ เล่มมาแปลครับ แม้ว่าจะดังแค่ไหนก็ตามในเมืองนอก
และยิ่งสำนักพิมพ์เล็ก ๆ เราก็ยิ่งกลัวสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเป็นทวีคูณ..
ทางแก้น่ะหรือ เอาจริง ๆ ผมก็ตอบไม่ได้หรอกครับ แต่เท่าที่ตอบได้ก็คงเป็น.. ถ้าชอบหนังสือชุดไหน แล้วไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็อุดหนุนเถอะนะครับ..
พูดในฐานะสำนักพิมพ์ที่จะไม่ทิ้งผู้อ่านแน่ ๆ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ :D
พอได้มานั่งจมอยู่กับความคิดตัวเองแล้ว เลยรู้สึกว่าเรากำลังเข้าใกล้วันงานหนังสือ (ชื่อเต็ม งานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 20) มาก ๆ แล้วนะเนี่ย ผมเชื่อว่าหลาย ๆ ท่านที่บอกว่าชอบเขียนก็น่าจะเป็นคนที่ชอบอ่านด้วย และ
พอใกล้ ๆ งานหนังสือทีไร สิ่งที่นักอ่านหลาย ๆ คนเฝ้ารอก็คือ
เล่มใหม่ของหนังสือเล่มโปรดใช่มั้ยครับ?
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น..
จำได้ว่าตอนแฮรี่ พอตเตอร์ออกใหม่ ๆ แทบจะทุกงานหนังสือผมจะเฝ้าตามข่าว แล้วก็รอว่าเล่มใหม่จะมาหรือยัง
โตมาก็มีหนังสือชุดอื่น ๆ ที่เติบโต แตกแขนงไปตามความสนใจที่เปลี่ยนไปตามวัย
ก็ตามอ่านกันเรื่อย แล้วก็ลุ้นให้เล่มใหม่ออกมาอย่างต่อเนื่อง..
จนเมื่อปลาย ๆ ปีที่แล้ว อยู่ ๆ หนังสือชุดหนึ่งที่ผมตามอยู่ก็ถูกประกาศออกมาว่าขอยุติการพิมพ์เล่มต่อ เนื่องจากว่ายอดขายไม่ดี..
ในฐานะคนอ่านก็เคว้งซิครับ หนังสือชุดนี้ต้นฉบับมียี่สิบเล่ม แปลไทยมาได้ประมานสิบเอ็ดหรือสิบสองเล่มนี่แหละ.. แล้วก็โดนลอยแพเพราะยอดขาย
จุดนี้แหละที่ผมอยากจะพูดถึง
เพราะมันเป็นปัญหางูกินหางที่ทั้งนักอ่าน และสำนักพิมพ์แก้ปัญหากันไม่ตกมานานแสนนานแล้ว (การแก้ตกก็คือขายดีเท่านั้นครับ แตมันมีหนังสือชุดขายดีในเมืองไทยไม่มากน่ะซิ..)
ลองคิดตามแบบนี้นะครับ
ในฐานะผู้อ่าน หลาย ๆ ครั้งเราลังเลที่จะซื้อหนังสือที่มันมีหลาย ๆ เล่ม เพราะเรากลัวว่ามันจะออกไม่จบ (จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม) เราจึงยื้อที่จะลงมือควักกระเป๋า บางทีเราก็คิดว่า เอางี้รอมันออกมาสองเล่มก่อน สามเล่มก่อน ครบชุดก่อน ฯลฯ แล้วค่อยซื้อละกัน.. ซึ่งผลของมันก็ส่งต่อมาสู่ สนพ. ดังนี้
ในฐานะสำนักพิมพ์ เอาเข้าจริง ๆ เราไม่รู้หรอกว่าที่เล่มหนึ่งเราขายไม่ออกนั้น เพราะหนังสือมันไม่ดี? เราแปลไม่ดี? ปกไม่สวย? คนในโลกออนไลน์ด่า? ฯลฯ เราไม่กล้าฟันธงในทันทีหรอกครับ และเราก็ไม่กล้าเดาด้วยว่าลูกค้าที่เขาไม่ซื้อเล่มหนึ่ง เพราะเขารอเล่มต่อ ๆ มาออกเสียก่อน.. เรารู้แค่ว่า
เฮ้ย เล่มหนึ่งขายไม่ดีเลยว่ะ..
เอาไงต่อดีเนี่ย?
เปิดสัญญา ๆ (ที่ทำกับเจ้าของลิขสิทธิ์) ดูดิ
เราต้องทำต่อมั้ย..
โอเคไม่ต้องทำต่อใช่มั้ย..
เอาไงดี..
งั้นหยุดพิมพ์เถอะ..
ผลคือเราต้องทำร้ายนักอ่านที่รักของเราที่ซื้อเล่มหนึ่งไปแล้วจำนวนหนึ่ง ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็แย่หมดแหละ แล้วก็ทำร้ายชื่อเสียงของสำนักพิมพ์เราด้วยการทิ้งงานเล่มต่อ มันก็วนกลับไปเป็น "ชื่อเสีย" ให้นักอ่านพูดถึงเราในอนาคตว่า..
สำนักพิมพ์นี้ แม่งพิมพ์ไม่จบว่ะ แม่งชอบทิ้งงานเล่มต่อ..แล้ววงจรที่ไม่ค่อยงดงามนี้มันก็วนเวียนเกิดขึ้นอยู่อย่างต่อเนื่อง..
นักอ่าน ไม่กล้ารับความเสี่ยงว่าหนังสือชุดจะออกครบทุกเล่มหรือไม่
และ สำนักพิมพ์ ก็ไม่กล้ารับความเสี่ยงที่จะพิมพ์หนังสือชุดเพราะไม่รู้ว่าจะขายดีแค่ไหนกัน
นี่เป็นสาเหตุหนึ่งที่สำนักพิมพ์กล้า ๆ กลัว ๆ จะซื้ออะไรยาว ๆ หลาย ๆ เล่มมาแปลครับ แม้ว่าจะดังแค่ไหนก็ตามในเมืองนอก
และยิ่งสำนักพิมพ์เล็ก ๆ เราก็ยิ่งกลัวสิ่งเหล่านี้มากขึ้นเป็นทวีคูณ..
ทางแก้น่ะหรือ เอาจริง ๆ ผมก็ตอบไม่ได้หรอกครับ แต่เท่าที่ตอบได้ก็คงเป็น.. ถ้าชอบหนังสือชุดไหน แล้วไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็อุดหนุนเถอะนะครับ..
พูดในฐานะสำนักพิมพ์ที่จะไม่ทิ้งผู้อ่านแน่ ๆ ถ้ายังมีชีวิตอยู่ :D
Writer
bangkokian
part time teenager
The greatness of art is not to find what is common but what is unique.