
เคยดูหนังเรื่อง Always - Sunset on Third Street (三丁目の夕日) กันมั้ยครับ?
ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่เคย หรือเคยดูแล้วแต่จำสิ่งที่ผมจะพูดถึงต่อไปไม่ได้
ในหนังเรื่อง Always นี้ จะมีตัวละครเอกอยู่ตัวหนึ่ง คือคุณชางาวะครับ คุณชางาวะเป็นนักเขียนไส้แห้ง และก็เป็นไปตามนั้นเลยครับ นี่คือประเด็นที่ผมจะพูดถึง...
นักเขียนอาชีพ จำนวนมากในโลก ไส้แห้งครับ
และไม่ใช่แต่นักเขียนเท่านั้น มันรวมไปถึงเหล่าคนในวงการหนังสือด้วยครับ
แต่เดี๋ยวครับ อย่าพึ่งรีบเห็นต่าง ผมรู้ว่ามีนักเขียนขายดี และสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ อยู่เยอะแยะในโลก แต่ก็นั่นแหละครับเหมือน ๆ กับทุกอาชีพ มันก็มีคนที่ทั้งประสบความสำเร็จ และคนที่ไม่อยู่ประกอบกันทั้งนั้น
เพียงแต่หนึ่งในอาชีพที่เกิด Jackpot ขึ้นได้ยากหน่อย มันมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับงานหนังสืออยู่ด้วยเท่านั้นเองครับ
..พูดถึงเรื่องงานหนังสือ
เดือนแรก ๆ ที่ผมเข้ามารับบทเป็นบรรณาธิการอย่างเต็มตัวนั้น ก็ต้องหาข้อมูล และมีโอกาสได้คุยกับผู้ใหญ่ในวงการหลาย ๆ ท่าน
มีท่านหนึ่งซึ่งพูดกับผมด้วยความเอ็นดู (?) ในครั้งแรกที่เราได้พบกัน
แกพูดว่า..
"มาทำหนังสือเป็นอาชีพหลัก แสดงว่าต้องใจรักจริง ๆ นะเนี่ย.."
มันเป็นคำพูดธรรมดา ๆ ครับ แต่พอกลับมาคิดก็หนักอึ้งอยู่ในหัวใจอยู่ไม่น้อย
และพอเวลาผ่านมาแล้ว ก็เริ่มรับรู้ถึงความจริงข้อนี้ครับ
งานหนังสือเนี่ยมีรายละเอียดมากมาย เหมือนที่ผมเล่าให้ฟังไปในตอนที่แล้ว
ทีนี้พอเราฟันฝ่า และควักตังค์จ่ายออกไปเพื่อให้หนังสือเล่มหนึ่งเกิดขึ้นมา.. เราเกิดต้นทุนขึ้นมาตั้งมองหน้าเราแล้ว
ถ้าเราอยากได้เงินเร็วหน่อย การ Pre-order หรือว่าขายเอง (ออนไลน์-ออฟไลน์ก็ตาม) คือวิถีทางอันประเสริฐที่สุด เพราะเราจะได้เงินก้อนมาเลย และเต็มเม็ดเต็มหน่วย..
แต่มันจะไม่สามารถไปในวงกว้างได้
ทางไปวงกว้างที่ดีที่สุดก็คือการฝากขาย หรือใช้สายส่งครับ
และเมื่อเราตกลงใจใช้แล้ว เราจะต้องเสียเงิน 45% ทุกครั้งจากการขายหนังสือตามราคาปกให้กับผู้ให้บริการรายนั้น ๆ
เท่านั้นยังไม่พอ เงินที่เราจะได้มานั้น มันไม่ใช่ว่าขายที่ร้านปุ๊ปแล้วเขาจะโอนให้เราทุกเดือน ทุกสัปดาห์ แต่มันมีรอบของเขาครับ สมมติว่า เดือน กย. ขายไปได้ 100 เล่ม เขาก็จะสรุปยอดขายมาให้เราช่วงปลายเดือนว่ามียอดขายเกิดขึ้นเท่านี้นะ บลา ๆ ๆ ๆ..
จากนั้นเราต้องไปวางบิลครับ ตามกำหนดเวลาที่เขาวางไว้ ซึ่งโดยมากจะเป็นต้นเดือน..
แล้วไงต่อ.. แล้วก็รอครับ รอไป กินมาม่าไป อดบ้าง แล้วแต่สถานะทางการเงินพื้นฐานของเราเพื่อให้ครบรอบจ่ายเงินตาม Credit Term ซึ่งอาจจะใช้เวลาถึง 60 วันในบางแห่ง..
เห็นหรือยังครับว่ามันไม่ได้เป็นอะไรที่หอมหวานมากนัก (พูดให้ดูน่าสงสารไปงั้น ๆ แหละครับ >< แต่ก็น่าสงสารจริง ๆ นะ T-T) ดังนั้นพวกคนทำหนังสือโดยส่วนมากจึงเข้าใจกัน.. ว่าพวกเราตกอยู่ในสถานะอะไร เวลาเราบอกว่าหนังสือขายดี๊ ขายดี แต่บางทีมันไม่ได้ดี๊ดีตามที่ภาพมันออกมาหรอกครับ..
ดังนั้น..
งานนี้มันต้องใจรักจริง ๆ ครับ
และผมก็หวังว่าสักวัน ไส้ผมจะไม่แห้งมากนัก..
ขออ้วน ๆ เลยเหอะ!!!
บ่นพิมพ์ไว้ ณ วันที่ 7 กย. 2558 เวลา 11:12 น.
ติดตามอ่านตอนเก่าได้ที่
ตอนที่ 1 bit.ly/editorslife01
ภาพประกอบจาก
www.facebook.com/bababatoys
ไม่เป็นไรครับ ถ้าไม่เคย หรือเคยดูแล้วแต่จำสิ่งที่ผมจะพูดถึงต่อไปไม่ได้
ในหนังเรื่อง Always นี้ จะมีตัวละครเอกอยู่ตัวหนึ่ง คือคุณชางาวะครับ คุณชางาวะเป็นนักเขียนไส้แห้ง และก็เป็นไปตามนั้นเลยครับ นี่คือประเด็นที่ผมจะพูดถึง...
นักเขียนอาชีพ จำนวนมากในโลก ไส้แห้งครับ
และไม่ใช่แต่นักเขียนเท่านั้น มันรวมไปถึงเหล่าคนในวงการหนังสือด้วยครับ
แต่เดี๋ยวครับ อย่าพึ่งรีบเห็นต่าง ผมรู้ว่ามีนักเขียนขายดี และสำนักพิมพ์ใหญ่ ๆ อยู่เยอะแยะในโลก แต่ก็นั่นแหละครับเหมือน ๆ กับทุกอาชีพ มันก็มีคนที่ทั้งประสบความสำเร็จ และคนที่ไม่อยู่ประกอบกันทั้งนั้น
เพียงแต่หนึ่งในอาชีพที่เกิด Jackpot ขึ้นได้ยากหน่อย มันมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับงานหนังสืออยู่ด้วยเท่านั้นเองครับ
..พูดถึงเรื่องงานหนังสือ
เดือนแรก ๆ ที่ผมเข้ามารับบทเป็นบรรณาธิการอย่างเต็มตัวนั้น ก็ต้องหาข้อมูล และมีโอกาสได้คุยกับผู้ใหญ่ในวงการหลาย ๆ ท่าน
มีท่านหนึ่งซึ่งพูดกับผมด้วยความเอ็นดู (?) ในครั้งแรกที่เราได้พบกัน
แกพูดว่า..
"มาทำหนังสือเป็นอาชีพหลัก แสดงว่าต้องใจรักจริง ๆ นะเนี่ย.."
มันเป็นคำพูดธรรมดา ๆ ครับ แต่พอกลับมาคิดก็หนักอึ้งอยู่ในหัวใจอยู่ไม่น้อย
และพอเวลาผ่านมาแล้ว ก็เริ่มรับรู้ถึงความจริงข้อนี้ครับ
งานหนังสือเนี่ยมีรายละเอียดมากมาย เหมือนที่ผมเล่าให้ฟังไปในตอนที่แล้ว
ทีนี้พอเราฟันฝ่า และควักตังค์จ่ายออกไปเพื่อให้หนังสือเล่มหนึ่งเกิดขึ้นมา.. เราเกิดต้นทุนขึ้นมาตั้งมองหน้าเราแล้ว
ถ้าเราอยากได้เงินเร็วหน่อย การ Pre-order หรือว่าขายเอง (ออนไลน์-ออฟไลน์ก็ตาม) คือวิถีทางอันประเสริฐที่สุด เพราะเราจะได้เงินก้อนมาเลย และเต็มเม็ดเต็มหน่วย..
แต่มันจะไม่สามารถไปในวงกว้างได้
ทางไปวงกว้างที่ดีที่สุดก็คือการฝากขาย หรือใช้สายส่งครับ
และเมื่อเราตกลงใจใช้แล้ว เราจะต้องเสียเงิน 45% ทุกครั้งจากการขายหนังสือตามราคาปกให้กับผู้ให้บริการรายนั้น ๆ
เท่านั้นยังไม่พอ เงินที่เราจะได้มานั้น มันไม่ใช่ว่าขายที่ร้านปุ๊ปแล้วเขาจะโอนให้เราทุกเดือน ทุกสัปดาห์ แต่มันมีรอบของเขาครับ สมมติว่า เดือน กย. ขายไปได้ 100 เล่ม เขาก็จะสรุปยอดขายมาให้เราช่วงปลายเดือนว่ามียอดขายเกิดขึ้นเท่านี้นะ บลา ๆ ๆ ๆ..
จากนั้นเราต้องไปวางบิลครับ ตามกำหนดเวลาที่เขาวางไว้ ซึ่งโดยมากจะเป็นต้นเดือน..
แล้วไงต่อ.. แล้วก็รอครับ รอไป กินมาม่าไป อดบ้าง แล้วแต่สถานะทางการเงินพื้นฐานของเราเพื่อให้ครบรอบจ่ายเงินตาม Credit Term ซึ่งอาจจะใช้เวลาถึง 60 วันในบางแห่ง..
เห็นหรือยังครับว่ามันไม่ได้เป็นอะไรที่หอมหวานมากนัก (พูดให้ดูน่าสงสารไปงั้น ๆ แหละครับ >< แต่ก็น่าสงสารจริง ๆ นะ T-T) ดังนั้นพวกคนทำหนังสือโดยส่วนมากจึงเข้าใจกัน.. ว่าพวกเราตกอยู่ในสถานะอะไร เวลาเราบอกว่าหนังสือขายดี๊ ขายดี แต่บางทีมันไม่ได้ดี๊ดีตามที่ภาพมันออกมาหรอกครับ..
ดังนั้น..
งานนี้มันต้องใจรักจริง ๆ ครับ
และผมก็หวังว่าสักวัน ไส้ผมจะไม่แห้งมากนัก..
ขออ้วน ๆ เลยเหอะ!!!
บ่นพิมพ์ไว้ ณ วันที่ 7 กย. 2558 เวลา 11:12 น.
ติดตามอ่านตอนเก่าได้ที่
ตอนที่ 1 bit.ly/editorslife01
ภาพประกอบจาก
www.facebook.com/bababatoys
Writer
bangkokian
part time teenager
The greatness of art is not to find what is common but what is unique.