
1
ตอนเด็กๆ เราเคยคิดว่าพ่อแม่จะอยู่กับเราไปจนนิรันดร์ ไม่มีวันแก่เฒ่า บ้านหลังที่เราอยู่อาศัยจะยังคงสภาพนี้ไปตลอดกาล ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เราคิดว่าวัยเยาว์ยังอีกยาวไกล
เราคิดถึงอนาคตข้างหน้าอยู่บ้างเหมือนกัน เมื่อเติบโตขึ้นเราจะทำอาชีพอะไร มีวิถีชีวิตแบบไหน เรานึกกลัวสิ่งที่ยังไม่มาถึงขึ้นมา เมื่อนึกได้ว่าตัวเราในปัจจุบันช่างเหลวไหลไร้สาระ ไม่เอาการงาน ไร้ความสามารถ
เราจินตนาการไม่ออกว่าคนอย่างเราในอนาคตจะเป็นอย่างไร
กลายเป็นว่าเราไม่ต้องรอนาน กาลเวลาเคลื่อนผ่านไปหลายปี แม้ว่าในความรู้สึกของเราคล้ายว่าเพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน
ร่างกายเราเปลี่ยนแปลง เสื้อผ้าบางตัวเริ่มใส่ไม่ได้ รถจักรยานที่เคยรู้สึกว่ามันใหญ่โตกลับดูเล็กลง ราวกับว่าไม่ใช่คันที่เราเคยขี่ไปไหนต่อไหน
พ่อแม่เริ่มไม่แข็งแรงเหมือนวันเก่า ตายายเริ่มใช้ชีวิตในโรงพยาบาลบ่อยขึ้น
เพื่อนกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตเรา เราเริ่มออกห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ เราให้ความสำคัญกับมือของเพื่อนที่ยื่นมาโอบหลังโอบไหล่มากกว่า
บางวันที่เศร้า มีเพียงเพื่อนเราที่เข้าใจ
อนาคตเราจะเป็นยังไงกันวะ – คำถามของเพื่อนหนุ่มดังขึ้น
เราเคยคิดว่าถ้าทำปัจจุบันให้ดี อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องคิดมาก แต่พอเวลาผ่านไป เราเริ่มหวั่นไหวและชักไม่แน่ใจ
อนาคตเดินทางมาถึงเร็วเสมอ และเมื่อเรื่องร้ายเข้ามาเยือน มันผลักเราให้ล้มคว่ำโดยไม่ทันตั้งตัว กว่าจะลุกขึ้นยืนได้ก็นาน และไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าเรายังจะแข็งแรงดังเดิมอยู่ไหม หรือสิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความอ่อนแอและเปราะบาง
นมและน้ำผลไม้เริ่มมีรสขมปร่า เหล้ายากลายเป็นสิ่งหวานหอม
เวลาที่มีหมดเปลืองไปกับการเรียนรู้และลองผิดลองถูก ทว่าเราก็ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่ดีว่าชีวิตควรมุ่งหน้าไปบนเส้นทางไหน มีปลายทางอยู่ ณ แห่งหนใด
แต่แล้วโลกก็เปลี่ยนแปลง เราพบว่าโลกสว่างสดใสขึ้นด้วยการมาถึงของผู้หญิงบางคน
จุดหมายที่เคยไกลกลับกลายเป็นใกล้ เพียงมีเธอร่วมทางไปด้วยกัน
ครั้งนี้จินตนาการของเรากลับมาทำงานได้อีกครั้ง เราเห็นภาพรอยยิ้มบนในหน้าเธอในความฝันอยู่บ่อยครั้ง นึกฝันใฝ่ไปไกลว่าความรักระหว่างเราจะยาวนาน ไม่มีวันสูญสลาย
ความเชื่อของเราถูกสั่นคลอนครั้งใหญ่ เมื่อวันที่เธอเดินจากไป
เป็นวันที่ดอกไม้เริ่มเหี่ยวเฉา
บางสิ่งที่เคยคิดว่ารู้ แท้จริงแล้วเรากลับไม่รู้อะไรเลย
คำสัญญาที่เคยเอ่ย ไร้ค่าไร้ราคา เมื่อคนพูดไม่อาจทำได้ตามที่เอ่ยวาจา
ก็รักกันออกปานนั้น ทุ่มเทและใสใจกันขนาดนั้น เราทำความเข้าใจไม่ได้เอาเลยว่าเหตุใดระหว่างเราถึงแปรเปลี่ยน
ความสัมพันธ์เริ่มกลายเป็นเรื่องยาก คนเคยคุ้นกันแท้ๆ พอเลิกคุ้นเคย เรากลับไปเป็นเพื่อนไม่ได้ดังเก่า
ความเหงาเริ่มเข้ามาแทนที่
บางบทเพลงทำให้เราเสียน้ำตา บางสายฝนไม่ยอมหยุดโปรยปราย จนกระทั่งมันเอ่อล้นและดึงให้เราจมอยู่กับความเศร้า
ตั้งแต่นั้นมา สายตาของเราก็ไม่เคยมองเห็นโลกได้สวยงามดังเดิมอีกเลย
รอยยิ้มซื่อและใสสะอาดที่เคยมีเมื่อครั้งยังเยาว์จางหายไปนานแล้ว และไม่มีวี่แววว่าสิ่งเหล่านั้นจะหวนกลับมาอีก
เราไม่สามารถไปบางสถานที่ได้ เพราะมันอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดจากเรื่องที่เคยเกิดกับเราวันนั้น เราทนฟังเพลงเก่าบางเพลงไม่ได้ เพราะมันเป็นเพลงที่เคยทำให้เรามีความสุขเมื่ออยู่กับใครบางคน
2
เราเคยคิดว่าเพื่อนกัน ถึงจะแยกย้ายกันไปอย่างไร ความเป็นเพื่อนจะยังอยู่เหมือนเดิม ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เราตระหนักว่าความจริงสัจจะหาได้เป็นเช่นนั้น ในค่ำคืนที่ได้กลับมาดื่มกินกับเพื่อนอีกครั้ง บทสนทนาของเราขาดห้วง และไม่ลื่นไหลปะติดปะต่อกันเหมือนเคย
ความคิดความเชื่อที่เคยรับฟังกันได้ มาวันนี้เราเริ่มขัดแย้งแบ่งแยก
เก็บความทรงจำที่ดีเอาไว้แล้วแยกทางกันไปดีกว่าไหมสหาย ดีกว่าที่จะต้องผันแปรจากคำว่าเพื่อนเป็นศัตรู
เพื่อนแท้มีจริง
ในขณะที่เพื่อนไม่แท้ เพื่อนกิน เพื่อนหลอกลวง ก็มีจริงอีกเช่นกัน
เราหวังอยู่ลึกๆ ว่าคงตัดสินใจไม่ผิดในเรื่องนี้
ในบางคืนที่เพื่อนมีน้ำตา เราโอบหลังโอบไหล่ ในบางวันที่เรามีปัญหา เพื่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ มิตรภาพระหว่างเพื่อนกลายเป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่นศรัทธา ด้วยเพราะมันสัมผัสได้ รับรู้ได้ว่าสิ่งนี้มีอยู่จริง
แต่เราก็ระแวงระวัง และมีเกราะกำบังเสมอ ยามเมื่อพบเจอผู้คนใหม่ๆ
เรากลัวว่าวันหนึ่งวันใดที่ตัดสินใจจะเป็นเพื่อน เราอาจได้เพื่อนที่ไม่จริงใจ
สำหรับคนบางประเภท การอยู่ให้ห่าง อาจเป็นสิริมงคลกับชีวิตมากกว่า
เราเชื่อว่ามนุษย์มีความดีงามอยู่ในตัว ทว่าเราก็เชื่ออีกเช่นกันว่ามนุษย์นั้นสามารถลงมือทำเรื่องโหดร้ายต่อกันได้อย่างเหลือเชื่อ
เพราะคนเราต่างกัน
ครูบางคนไม่ได้น่าเคารพ ผู้ใหญ่บางคนหลงระเริงในอำนาจก็มี
ใบปริญญาคือสิ่งที่สังคมยกย่องและให้การยอมรับนับถือ หากมาจากสถาบันชื่อดังย่อมเท่ากับเป็นบุคลากรคุณภาพ น่าเชื่อถือว่าเป็นคนเก่งและมีความสามารถ
แต่ทั้งที่มีใบปริญญาคุ้มหัว ใครหลายคนก็ยังเอาตัวรอดไม่ได้ในโลกแห่งความจริง
เมื่อวันเวลาแห่งหน้าที่การงานมาถึง
เราสงสัยว่าเหตุใดบางคนถึงได้เสแสร้ง โกหกตลบตะแลงได้แนบเนียนสิ้นดี
ต่อหน้าอีกอย่าง ลับหลังเป็นอีกอย่าง
เราค้นพบว่าความเชื่อใจนั้นหาได้ยาก เมื่อใครคนหนึ่งพูดสิ่งหนึ่งสิ่งใด เราระแวงสงสัยว่าเขาหรือเธอมีเบื้องหลังหรือไม่ มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝงไว้หรือเปล่า
เงินกลายเป็นศาสนา หลายคนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา
เราเคยคิดฝันว่าจะเปลี่ยนแปลงและสรรค์สร้างให้โลกนี้สวยงามและน่าอยู่ขึ้น ในไม่ช้าเราค้นพบว่าตัวเองก็เป็นแค่ฝุ่นผงธุลีของจักรวาล เราเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้นอกจากการเคลื่อนที่ของตัวเอง
ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็คล้ายว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นเสมือนฟันเฟืองเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
เราคิดว่าคนเรานั้นล้วนต่างกัน เหมือนกันบ้างในบางเรื่อง ทว่าไม่ใช่เลยกับอีกหลายๆ เรื่อง
เราจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนบางคนจึงต้องการชำระสะสางความคิดความเชื่อที่แตกต่าง ไม่เคารพสิทธิและเสรีภาพในการเลือกของผู้อื่น
มีการขีดเขียนกำหนดรูปแบบตายตัวเรื่องความสำเร็จ และชีวิตที่ดี ว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ถ้าผิดจากนี้นับว่าไม่ใช่
เราสงสัยว่าโลกต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไปจริงหรือ แท้จริงแล้วมนุษย์มีทางเลือกอื่นใดหรือเปล่า
3
ยามเช้าและแสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่งห่างหายไปจากชีวิตเรา ในเมื่อกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปจนดึกดื่น
คิดว่าจะลองอดทนตื่นลืมตาจนเช้าดูสักครั้ง แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเพียงลมปาก ไม่เคยทำได้จริงจัง
แต่เรายืนยันว่าพระอาทิตย์ยามที่ตกดินนั้นงดงามจริง นั่งมองมันกี่ครั้งก็รู้สึกสุขสงบ
แต่นั่นก็แค่ชั่วครู่ชั่วยาม
เรายังคงตามหาที่พึ่ง
เมื่อวันที่หัวใจอ่อนล้า เราหวังว่าจะพบสถานที่แห่งความสุขสงบ ให้หัวใจได้พึ่งพิงอาศัย
เราเคยศรัทธาในศาสนาอย่างเข้มข้นและจริงจัง หวังว่าวัดจะทำให้จิตใจสงบและไม่ฟุ้งซ่าน
ต่อมาเราพบว่าการเข้าวัดทำให้จิตใจฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม
พระบางรูปไม่ได้น่าเคารพเลื่อมใส แทนที่จะมุ้งเน้นทางธรรม การเข้าถึงการรู้แจ้ง นิพพาน กลายเป็นว่าในหลายๆ วัดมุ่งเน้นไปที่การดูดเงินทองจากกระเป๋าของญาติโยม
ทำบุญเยอะจะได้บุญมาก
เรามีคำถามว่าบุญหรือบาปนั้นมีจริงไหม ทำไมคนชั่วช้าสามานย์ถึงยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้ ในขณะที่คนดีๆ กลับไม่มีที่อยู่ที่ยืน
พยายามทั้งปีทั้งชาติแต่ความสำเร็จก็ยังคงเป็นเรื่องที่อยู่ห่างไกล
ในบางค่ำคืนที่เผชิญปัญหา เราสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้า ขอให้ท่านโปรดเมตตาให้เราได้ค้นพบทางสว่าง
ไม่เคยพบพระเจ้า ไม่เคยเชื่อว่าท่านมีตัวตนอยู่จริง และเลือกที่จะเมินเฉยละเลยมาโดยตลอด ทว่าในยามมืดหม่น เราสวดภาวนา
ขอให้พระเจ้ามีจริง
ไม่ได้หวังแค่ให้ช่วยบรรเทาปัดเป่าความทุกข์ มากกว่านั้น เรายังหวังว่าพระองค์จะประทานอภัย และยกโทษให้แก่ความผิดบาปของเรา
4
และแล้วก็มาถึงวันแห่งการพรากจาก
คนเราตายได้จริง ข้อนี้เรารับรู้อยู่แก่ใจมาโดยตลอด รู้ว่าวันใดวันหนึ่งคนที่เรารักก็ต้องจากเราไป
แต่พอวันนั้นมาถึง กลายเป็นว่าเราทำอะไรไม่ถูก
มึนงง สับสน จับต้นชนปลายไม่ได้ หาหนทางไปต่อไม่เจอ
ย้อนมองคนสำคัญในชีวิต เราถามตัวเองว่า เราได้ใช้วันเวลากับพวกเขาอย่างมีความหมายบ้างไหม ได้มอบคุณงามความดีใดไว้ให้กับพวกเขาบ้างหรือเปล่า หรือเพียงแต่สร้างบาดแผลและรอยขีดข่วนทิ้งไว้ แล้วลาจากกันไปด้วยความเจ็บช้ำและคราบน้ำตา
มองตาคนรัก ถึงแม้วันนี้จะยังมีความสุขกันอยู่ แต่เราอดกังวลถึงวันพรุ่งนี้ไม่ได้ ว่าโลกของเราสองคนจะยังสวยงามอยู่ไหม หรือมีบทเรียนใดที่เราต้องเผชิญและเรียนรู้รสชาติความเจ็บปวดกันอีก
เหมือนกุหลาบที่งดงามก็จริงอยู่ แต่หนามของมันก็ทิ่มแทงเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วัยหนุ่มสาวกำลังจะผ่านพ้นไป
เรานึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องราวอีกมากที่ยังคงไม่ถูกชำระสะสาง ปัญหามากมายยังคงค้างคาไม่ถูกแก้ไข
คำบอกรักที่ยังไม่เคยถูกเอ่ย คำขอโทษที่เรายังไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดจา
เราหวังว่าสักวันหนึ่งคงจะมีโอกาสนั้น แต่เราก็ยังสงสัยว่าวันเวลาที่ว่านั้นจะยังมีเหลืออยู่อีกสักเท่าไร
ไม่กี่ปี ไม่กี่เดือน หรือกระทั่งไม่กี่วัน
นั่งมองแสงไฟบนถนนแล้วเรารู้สึกสงสัยว่าชีวิตนี้เราค้นหาคำตอบได้บ้างไหม หรือบางสิ่งยังคงขาดหายอยู่อย่างนั้น
แต่บางคำถามก็อาจไม่ต้องการคำตอบ
ถ้าเราบันทึกภาพด้วยตาเปล่าได้ แล้วการสบตากันจะยังมีความหมายอยู่ไหม
ถ้าเรามีไทม์แมชชีนที่ย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ มองเห็นอนาคตได้
แล้วปัจจุบันจะมีความหมายอะไร.
ตอนเด็กๆ เราเคยคิดว่าพ่อแม่จะอยู่กับเราไปจนนิรันดร์ ไม่มีวันแก่เฒ่า บ้านหลังที่เราอยู่อาศัยจะยังคงสภาพนี้ไปตลอดกาล ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เราคิดว่าวัยเยาว์ยังอีกยาวไกล
เราคิดถึงอนาคตข้างหน้าอยู่บ้างเหมือนกัน เมื่อเติบโตขึ้นเราจะทำอาชีพอะไร มีวิถีชีวิตแบบไหน เรานึกกลัวสิ่งที่ยังไม่มาถึงขึ้นมา เมื่อนึกได้ว่าตัวเราในปัจจุบันช่างเหลวไหลไร้สาระ ไม่เอาการงาน ไร้ความสามารถ
เราจินตนาการไม่ออกว่าคนอย่างเราในอนาคตจะเป็นอย่างไร
กลายเป็นว่าเราไม่ต้องรอนาน กาลเวลาเคลื่อนผ่านไปหลายปี แม้ว่าในความรู้สึกของเราคล้ายว่าเพิ่งผ่านไปไม่กี่เดือน
ร่างกายเราเปลี่ยนแปลง เสื้อผ้าบางตัวเริ่มใส่ไม่ได้ รถจักรยานที่เคยรู้สึกว่ามันใหญ่โตกลับดูเล็กลง ราวกับว่าไม่ใช่คันที่เราเคยขี่ไปไหนต่อไหน
พ่อแม่เริ่มไม่แข็งแรงเหมือนวันเก่า ตายายเริ่มใช้ชีวิตในโรงพยาบาลบ่อยขึ้น
เพื่อนกลายเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในชีวิตเรา เราเริ่มออกห่างจากอ้อมอกของพ่อแม่ เราให้ความสำคัญกับมือของเพื่อนที่ยื่นมาโอบหลังโอบไหล่มากกว่า
บางวันที่เศร้า มีเพียงเพื่อนเราที่เข้าใจ
อนาคตเราจะเป็นยังไงกันวะ – คำถามของเพื่อนหนุ่มดังขึ้น
เราเคยคิดว่าถ้าทำปัจจุบันให้ดี อนาคตที่ยังมาไม่ถึงก็ไม่ใช่สิ่งที่ต้องคิดมาก แต่พอเวลาผ่านไป เราเริ่มหวั่นไหวและชักไม่แน่ใจ
อนาคตเดินทางมาถึงเร็วเสมอ และเมื่อเรื่องร้ายเข้ามาเยือน มันผลักเราให้ล้มคว่ำโดยไม่ทันตั้งตัว กว่าจะลุกขึ้นยืนได้ก็นาน และไม่อาจแน่ใจได้เลยว่าเรายังจะแข็งแรงดังเดิมอยู่ไหม หรือสิ่งที่เหลืออยู่มีเพียงความอ่อนแอและเปราะบาง
นมและน้ำผลไม้เริ่มมีรสขมปร่า เหล้ายากลายเป็นสิ่งหวานหอม
เวลาที่มีหมดเปลืองไปกับการเรียนรู้และลองผิดลองถูก ทว่าเราก็ยังตัดสินใจไม่ได้อยู่ดีว่าชีวิตควรมุ่งหน้าไปบนเส้นทางไหน มีปลายทางอยู่ ณ แห่งหนใด
แต่แล้วโลกก็เปลี่ยนแปลง เราพบว่าโลกสว่างสดใสขึ้นด้วยการมาถึงของผู้หญิงบางคน
จุดหมายที่เคยไกลกลับกลายเป็นใกล้ เพียงมีเธอร่วมทางไปด้วยกัน
ครั้งนี้จินตนาการของเรากลับมาทำงานได้อีกครั้ง เราเห็นภาพรอยยิ้มบนในหน้าเธอในความฝันอยู่บ่อยครั้ง นึกฝันใฝ่ไปไกลว่าความรักระหว่างเราจะยาวนาน ไม่มีวันสูญสลาย
ความเชื่อของเราถูกสั่นคลอนครั้งใหญ่ เมื่อวันที่เธอเดินจากไป
เป็นวันที่ดอกไม้เริ่มเหี่ยวเฉา
บางสิ่งที่เคยคิดว่ารู้ แท้จริงแล้วเรากลับไม่รู้อะไรเลย
คำสัญญาที่เคยเอ่ย ไร้ค่าไร้ราคา เมื่อคนพูดไม่อาจทำได้ตามที่เอ่ยวาจา
ก็รักกันออกปานนั้น ทุ่มเทและใสใจกันขนาดนั้น เราทำความเข้าใจไม่ได้เอาเลยว่าเหตุใดระหว่างเราถึงแปรเปลี่ยน
ความสัมพันธ์เริ่มกลายเป็นเรื่องยาก คนเคยคุ้นกันแท้ๆ พอเลิกคุ้นเคย เรากลับไปเป็นเพื่อนไม่ได้ดังเก่า
ความเหงาเริ่มเข้ามาแทนที่
บางบทเพลงทำให้เราเสียน้ำตา บางสายฝนไม่ยอมหยุดโปรยปราย จนกระทั่งมันเอ่อล้นและดึงให้เราจมอยู่กับความเศร้า
ตั้งแต่นั้นมา สายตาของเราก็ไม่เคยมองเห็นโลกได้สวยงามดังเดิมอีกเลย
รอยยิ้มซื่อและใสสะอาดที่เคยมีเมื่อครั้งยังเยาว์จางหายไปนานแล้ว และไม่มีวี่แววว่าสิ่งเหล่านั้นจะหวนกลับมาอีก
เราไม่สามารถไปบางสถานที่ได้ เพราะมันอัดแน่นไปด้วยความเจ็บปวดจากเรื่องที่เคยเกิดกับเราวันนั้น เราทนฟังเพลงเก่าบางเพลงไม่ได้ เพราะมันเป็นเพลงที่เคยทำให้เรามีความสุขเมื่ออยู่กับใครบางคน
2
เราเคยคิดว่าเพื่อนกัน ถึงจะแยกย้ายกันไปอย่างไร ความเป็นเพื่อนจะยังอยู่เหมือนเดิม ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
เราตระหนักว่าความจริงสัจจะหาได้เป็นเช่นนั้น ในค่ำคืนที่ได้กลับมาดื่มกินกับเพื่อนอีกครั้ง บทสนทนาของเราขาดห้วง และไม่ลื่นไหลปะติดปะต่อกันเหมือนเคย
ความคิดความเชื่อที่เคยรับฟังกันได้ มาวันนี้เราเริ่มขัดแย้งแบ่งแยก
เก็บความทรงจำที่ดีเอาไว้แล้วแยกทางกันไปดีกว่าไหมสหาย ดีกว่าที่จะต้องผันแปรจากคำว่าเพื่อนเป็นศัตรู
เพื่อนแท้มีจริง
ในขณะที่เพื่อนไม่แท้ เพื่อนกิน เพื่อนหลอกลวง ก็มีจริงอีกเช่นกัน
เราหวังอยู่ลึกๆ ว่าคงตัดสินใจไม่ผิดในเรื่องนี้
ในบางคืนที่เพื่อนมีน้ำตา เราโอบหลังโอบไหล่ ในบางวันที่เรามีปัญหา เพื่อนพยักหน้าอย่างเข้าใจ มิตรภาพระหว่างเพื่อนกลายเป็นสิ่งที่เราเชื่อมั่นศรัทธา ด้วยเพราะมันสัมผัสได้ รับรู้ได้ว่าสิ่งนี้มีอยู่จริง
แต่เราก็ระแวงระวัง และมีเกราะกำบังเสมอ ยามเมื่อพบเจอผู้คนใหม่ๆ
เรากลัวว่าวันหนึ่งวันใดที่ตัดสินใจจะเป็นเพื่อน เราอาจได้เพื่อนที่ไม่จริงใจ
สำหรับคนบางประเภท การอยู่ให้ห่าง อาจเป็นสิริมงคลกับชีวิตมากกว่า
เราเชื่อว่ามนุษย์มีความดีงามอยู่ในตัว ทว่าเราก็เชื่ออีกเช่นกันว่ามนุษย์นั้นสามารถลงมือทำเรื่องโหดร้ายต่อกันได้อย่างเหลือเชื่อ
เพราะคนเราต่างกัน
ครูบางคนไม่ได้น่าเคารพ ผู้ใหญ่บางคนหลงระเริงในอำนาจก็มี
ใบปริญญาคือสิ่งที่สังคมยกย่องและให้การยอมรับนับถือ หากมาจากสถาบันชื่อดังย่อมเท่ากับเป็นบุคลากรคุณภาพ น่าเชื่อถือว่าเป็นคนเก่งและมีความสามารถ
แต่ทั้งที่มีใบปริญญาคุ้มหัว ใครหลายคนก็ยังเอาตัวรอดไม่ได้ในโลกแห่งความจริง
เมื่อวันเวลาแห่งหน้าที่การงานมาถึง
เราสงสัยว่าเหตุใดบางคนถึงได้เสแสร้ง โกหกตลบตะแลงได้แนบเนียนสิ้นดี
ต่อหน้าอีกอย่าง ลับหลังเป็นอีกอย่าง
เราค้นพบว่าความเชื่อใจนั้นหาได้ยาก เมื่อใครคนหนึ่งพูดสิ่งหนึ่งสิ่งใด เราระแวงสงสัยว่าเขาหรือเธอมีเบื้องหลังหรือไม่ มีวาระซ่อนเร้นแอบแฝงไว้หรือเปล่า
เงินกลายเป็นศาสนา หลายคนยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มา
เราเคยคิดฝันว่าจะเปลี่ยนแปลงและสรรค์สร้างให้โลกนี้สวยงามและน่าอยู่ขึ้น ในไม่ช้าเราค้นพบว่าตัวเองก็เป็นแค่ฝุ่นผงธุลีของจักรวาล เราเปลี่ยนแปลงสิ่งใดไม่ได้นอกจากการเคลื่อนที่ของตัวเอง
ไม่ว่าเราจะทำสิ่งใดก็คล้ายว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นเสมือนฟันเฟืองเล็กๆ ตัวหนึ่งเท่านั้น
เราคิดว่าคนเรานั้นล้วนต่างกัน เหมือนกันบ้างในบางเรื่อง ทว่าไม่ใช่เลยกับอีกหลายๆ เรื่อง
เราจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนบางคนจึงต้องการชำระสะสางความคิดความเชื่อที่แตกต่าง ไม่เคารพสิทธิและเสรีภาพในการเลือกของผู้อื่น
มีการขีดเขียนกำหนดรูปแบบตายตัวเรื่องความสำเร็จ และชีวิตที่ดี ว่าต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ถ้าผิดจากนี้นับว่าไม่ใช่
เราสงสัยว่าโลกต้องเป็นเช่นนั้นเสมอไปจริงหรือ แท้จริงแล้วมนุษย์มีทางเลือกอื่นใดหรือเปล่า
3
ยามเช้าและแสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่งห่างหายไปจากชีวิตเรา ในเมื่อกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปจนดึกดื่น
คิดว่าจะลองอดทนตื่นลืมตาจนเช้าดูสักครั้ง แต่เอาเข้าจริงก็เป็นเพียงลมปาก ไม่เคยทำได้จริงจัง
แต่เรายืนยันว่าพระอาทิตย์ยามที่ตกดินนั้นงดงามจริง นั่งมองมันกี่ครั้งก็รู้สึกสุขสงบ
แต่นั่นก็แค่ชั่วครู่ชั่วยาม
เรายังคงตามหาที่พึ่ง
เมื่อวันที่หัวใจอ่อนล้า เราหวังว่าจะพบสถานที่แห่งความสุขสงบ ให้หัวใจได้พึ่งพิงอาศัย
เราเคยศรัทธาในศาสนาอย่างเข้มข้นและจริงจัง หวังว่าวัดจะทำให้จิตใจสงบและไม่ฟุ้งซ่าน
ต่อมาเราพบว่าการเข้าวัดทำให้จิตใจฟุ้งซ่านมากกว่าเดิม
พระบางรูปไม่ได้น่าเคารพเลื่อมใส แทนที่จะมุ้งเน้นทางธรรม การเข้าถึงการรู้แจ้ง นิพพาน กลายเป็นว่าในหลายๆ วัดมุ่งเน้นไปที่การดูดเงินทองจากกระเป๋าของญาติโยม
ทำบุญเยอะจะได้บุญมาก
เรามีคำถามว่าบุญหรือบาปนั้นมีจริงไหม ทำไมคนชั่วช้าสามานย์ถึงยังลอยหน้าลอยตาอยู่ในสังคมได้ ในขณะที่คนดีๆ กลับไม่มีที่อยู่ที่ยืน
พยายามทั้งปีทั้งชาติแต่ความสำเร็จก็ยังคงเป็นเรื่องที่อยู่ห่างไกล
ในบางค่ำคืนที่เผชิญปัญหา เราสวดมนต์อ้อนวอนต่อพระเจ้า ขอให้ท่านโปรดเมตตาให้เราได้ค้นพบทางสว่าง
ไม่เคยพบพระเจ้า ไม่เคยเชื่อว่าท่านมีตัวตนอยู่จริง และเลือกที่จะเมินเฉยละเลยมาโดยตลอด ทว่าในยามมืดหม่น เราสวดภาวนา
ขอให้พระเจ้ามีจริง
ไม่ได้หวังแค่ให้ช่วยบรรเทาปัดเป่าความทุกข์ มากกว่านั้น เรายังหวังว่าพระองค์จะประทานอภัย และยกโทษให้แก่ความผิดบาปของเรา
4
และแล้วก็มาถึงวันแห่งการพรากจาก
คนเราตายได้จริง ข้อนี้เรารับรู้อยู่แก่ใจมาโดยตลอด รู้ว่าวันใดวันหนึ่งคนที่เรารักก็ต้องจากเราไป
แต่พอวันนั้นมาถึง กลายเป็นว่าเราทำอะไรไม่ถูก
มึนงง สับสน จับต้นชนปลายไม่ได้ หาหนทางไปต่อไม่เจอ
ย้อนมองคนสำคัญในชีวิต เราถามตัวเองว่า เราได้ใช้วันเวลากับพวกเขาอย่างมีความหมายบ้างไหม ได้มอบคุณงามความดีใดไว้ให้กับพวกเขาบ้างหรือเปล่า หรือเพียงแต่สร้างบาดแผลและรอยขีดข่วนทิ้งไว้ แล้วลาจากกันไปด้วยความเจ็บช้ำและคราบน้ำตา
มองตาคนรัก ถึงแม้วันนี้จะยังมีความสุขกันอยู่ แต่เราอดกังวลถึงวันพรุ่งนี้ไม่ได้ ว่าโลกของเราสองคนจะยังสวยงามอยู่ไหม หรือมีบทเรียนใดที่เราต้องเผชิญและเรียนรู้รสชาติความเจ็บปวดกันอีก
เหมือนกุหลาบที่งดงามก็จริงอยู่ แต่หนามของมันก็ทิ่มแทงเราซ้ำแล้วซ้ำเล่า
วัยหนุ่มสาวกำลังจะผ่านพ้นไป
เรานึกขึ้นได้ว่ามีเรื่องราวอีกมากที่ยังคงไม่ถูกชำระสะสาง ปัญหามากมายยังคงค้างคาไม่ถูกแก้ไข
คำบอกรักที่ยังไม่เคยถูกเอ่ย คำขอโทษที่เรายังไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่มต้นพูดจา
เราหวังว่าสักวันหนึ่งคงจะมีโอกาสนั้น แต่เราก็ยังสงสัยว่าวันเวลาที่ว่านั้นจะยังมีเหลืออยู่อีกสักเท่าไร
ไม่กี่ปี ไม่กี่เดือน หรือกระทั่งไม่กี่วัน
นั่งมองแสงไฟบนถนนแล้วเรารู้สึกสงสัยว่าชีวิตนี้เราค้นหาคำตอบได้บ้างไหม หรือบางสิ่งยังคงขาดหายอยู่อย่างนั้น
แต่บางคำถามก็อาจไม่ต้องการคำตอบ
ถ้าเราบันทึกภาพด้วยตาเปล่าได้ แล้วการสบตากันจะยังมีความหมายอยู่ไหม
ถ้าเรามีไทม์แมชชีนที่ย้อนกลับไปแก้ไขอดีตได้ มองเห็นอนาคตได้
แล้วปัจจุบันจะมีความหมายอะไร.
Comments
pratpreecha
6 years ago
สิ่งที่เป็นจริงคือการจากลา
สิ่งที่ทำได้คือการทำปัจจุบันให้สวยงามที่สุด
เมื่อวันที่การจากลามาถึง เราอาจจะเสียใจ แต่เราจะไม่เสียดายครับ :)
สิ่งที่ทำได้คือการทำปัจจุบันให้สวยงามที่สุด
เมื่อวันที่การจากลามาถึง เราอาจจะเสียใจ แต่เราจะไม่เสียดายครับ :)
Reply